
นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เปิดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีบีโอไอ ภายใต้แนวคิด “Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities” ร่วมปลุกกระแสการลงทุนไร้ขีดจำกัด พลิกความท้าทาย เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตครั้งใหญ่ให้กับประเทศไทย บีโอไอพร้อมผนึกกำลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างระบบนิเวศพร้อมรองรับคลื่นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ยกระดับประเทศไทยก้าวสู่จุดหมายการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนในอนาคต
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 บีโอไอได้จัดสัมมนาครั้งใหญ่ประจำปี ภายใต้แนวคิด “Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities” ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ความพร้อมประเทศไทย เพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก” เสวนา หัวข้อ “การขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่” นำโดยบีโอไอ และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ดร. ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และ ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อร่วมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยมีนักลงทุนเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน ประกอบด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นักลงทุนไทยและต่างชาติ ผู้ประกอบการ SMEs ผู้แทนสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัย สถาบันการเงิน สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า วันนี้การลงทุนทั่วโลกมีความท้าทายมากขึ้น การมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ธุรกิจต่าง ๆ ช่วยผลักดันเศรษฐกิจของไทยให้เติบโต เปลี่ยนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกให้เป็นโอกาส เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะแสดงความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อม ในการสร้างโอกาสการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ในเฟส 2 ที่จะเชื่อมต่อในระดับภูมิภาค รวมถึงท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และการพัฒนาท่าอากาศยาน ตลอดจนการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมระหว่างฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน
“ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยสามารถทำสถิติใหม่ ในปีที่ผ่านมา มียอดส่งเสริมลงทุนกว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี ขอบคุณบีโอไอที่ทำงานอย่างหนักและสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ แต่รัฐบาลยังต้องเร่งทำอีกหลายเรื่อง เพื่อรองรับความต้องการ และสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต อย่างเซมิคอนดักเตอร์ ดาต้า เซ็นเตอร์ และคลาวด์ ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนในระยะยาว ขณะเดียวกันต้องเร่งสร้างบุคลากร การให้ทุนเรียนในสาขาที่ขาดแคลน โดยมีแผนผลิตบุคลากรกว่า 80,000 คน และดึงดูดบุคลากรจากทั่วโลก รวมทั้งต้องส่งเสริมบรรยากาศ ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคผลิต การเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และการแพทย์ให้สามารถแข่งขันได้” นางสาวแพทองธาร กล่าว

ด้าน นายพิชัย กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ความพร้อมประเทศไทยเพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก” โดยระบุว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินทางไปชักจูงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 60 ปี ทั้งสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย แต่ครั้งนี้เป็นการไปเพื่อชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็ทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์สมัยใหม่ และไบโอเทคโนโลยี และจากตัวเลขการลงทุนที่ออกมากว่า 1.13 ล้านล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการเจรจาทางการค้า ซึ่งขณะนี้สำเร็จไปแล้ว 23 ประเทศ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีตลาดมากขึ้น และไทยมีศักยภาพในการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก
“ประเทศไทย มีพื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะในเซกเตอร์สำคัญ ทั้งยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ที่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เพราะมีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง และต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น ก้าวไปสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพอย่างเกษตรและอาหาร และการท่องเที่ยว โดยต้องการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม BCG โดยให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ พยายามแก้ไข กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็น รวมถึงการขยายขอบเขตการทำงานของบีโอไอ เพื่อเติมเต็มความต้องการของนักลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนให้ระบบเศรษฐกิจไทย” นายพิชัย กล่าว
4 หน่วยงานผนึกกำลังเสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐาน
สำหรับการเสวนา ในหัวข้อ “การขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่” บีโอไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศความพร้อมในการสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายของการลงทุนระดับโลก

นายนฤตม์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมโครงการที่สร้างประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและมีมูลค่าสูง ที่สำคัญต้องก่อให้เกิดกระบวนการผลิตที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เช่น การส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ยกระดับผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI ระบบอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนสร้างฐานผลิตในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเซมิคอนดักเตอร์ PCB ดิจิทัล และ AI การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะดิจิทัล การลดข้อจำกัดของกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการยกระดับพัฒนา Supply Chain ของอุตสาหกรรมใหม่ให้แข็งแกร่งรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต

“แนวโน้มสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศไทยเตรียมพร้อมรองรับผลกระทบ และทำให้มั่นใจว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ต้องมีกระบวนการผลิตในสาระสำคัญเกิดขึ้นจริงภายในประเทศ และไม่มีการสวมสิทธิ พร้อมส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ รวมถึงการร่วมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ผลิตไทย นอกจากนี้ บีโอไอได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อลดผลกระทบจาก Global Minimum Tax โดยให้เครดิตภาษี จากการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น ด้านวิจัยและพัฒนา ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมีภาระภาษีลดลง” นายนฤตม์ กล่าว
ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย กล่าวว่า อว. ได้เตรียมแผนพัฒนาบุคลากรรองรับการสร้างอุตสาหกรรมอนาคต โดยมีเป้าหมายใน 5 ปี จะผลิตบุคลากรในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงจำนวน 80,000 คน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 150,000 คน และ AI 50,000 คน ผ่านการ Upskill / Reskill การจัดหลักสูตรพิเศษ Sandbox และการให้ทุนวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีแพลตฟอร์มการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง STEM One-Stop Service ที่ร่วมกับบีโอไอในการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนที่มีการลงทุนพัฒนาบุคคลในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีกลไกของกองทุนวิจัยที่สนับสนุนการพัฒนานักวิจัยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต
ด้าน ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ของโลกการลงทุน โดยเฉพาะความผันผวนด้านพลังงานของโลก โดยแผน PDP ฉบับใหม่ ได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด จากร้อยละ 22.6 ในปี 2567 เป็นร้อยละ 51 ในปี 2580 หรือเพิ่มขึ้น 63,867 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ได้เตรียมแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการยกระดับพลังงานไทย เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาระบบไฟฟ้ารูปแบบใหม่ (Grid Modernization) รองรับการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าของไทยให้มีความมั่นคง มีราคาที่เหมาะสม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการจัดทำ Direct PPA ใน 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ กลไกการจัดหาพลังงานสะอาด (Utility Green Tariff: UGT) สำหรับภาคอุตสาหกรรมผ่านการไฟฟ้า รูปแบบที่สอง เปิดให้เอกชนซื้อไฟฟ้าผ่านบุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) โดยมีโครงการนำร่องในการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ให้กับธุรกิจ Data Center
ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าวว่า ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการเติบโตบนพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัล โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2570 มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัล จะมีสัดส่วนร้อยละ 30 ของจีดีพี และก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับ 30 ของประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของโลก ซึ่งในปี 2567 ไทยอยู่ในอันดับที่ 37 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน โดยปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก
กระทรวงดีอี พร้อมสนับสนุนความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายด้านการลงทุน โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในหลาย ๆ ด้าน เช่น นโยบาย “Cloud First” เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลและบริการคลาวด์ของภูมิภาค การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI รวมทั้งมีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสนับสนุนการลงทุน เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ สิทธิพิเศษด้านภาษี และการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ