หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 ได้เห็นชอบแผนการควบรวม บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT เป็นบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT Telecom ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายและกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) โดยมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) รับไปดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไปท่ามกลางข้อกังขาของผู้คนในสังคม รวมทั้งเหล่าพนักงานและสหภาพรัฐวิสาหกิจของทั้งสององค์กร ที่วันนี้คงสาละวนอยู่กับทิศทางในอนาคตข้างหน้าภายหลังการควบรวมกิจการ “สุดพิสดาร” ที่ว่าจะเป็นอย่างไร จะดำเนินการควบรวมกิจการกันอย่างไรโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของพนักงาน และโดยเฉพาะกับคำถามที่ว่า รัฐต้องการให้มีการควบรวมรัฐวิสาหกิจของทั้งสององค์กรเพื่อ...?PTT Model.. ต้นแบบความสำเร็จแปรรูป รสก.หากจะย้อนรอยไปพิจารณาเส้นทางการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ถือว่าประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งยวด และกลายเป็น “โมเดลธุรกิจ” ที่องค์กรธุรกิจต่างๆ ใช้เป็นแม่แบบของการศึกษามาโดยตลอดนั้น จะเห็นได้ว่า Model ความสำเร็จของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ “PTT Model” ที่แปรรูปมาจากการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ในอดีตนั้น คือรูปแบบที่น่าศึกษาที่สุด ขั้นตอนในการแปรรูปฯ ของ ปตท.ในอดีตนั้น แม้ตัวองค์กรหลัก (ปตท.) จะยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจเต็มรูปแบบ (สถานะของ ปตท.ก่อนปี 2546) แต่ก็มีการแตกกิจการออกไปจัดตั้งบริษัทลูก บริษัทร่วมทุนนับสิบบริษัท และมีการผ่องถ่ายผู้บริหาร และพนักงานระดับต่างๆ ลงไปดูแลกิจการบริษัทลูก และบริษัทในเครือ หรือบริษัทร่วมทุนเหล่านี้ครบวงจร โดยที่บริษัทแม่ ปตท.ยังคงทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการในเครือเหล่านี้ในลักษณะที่เป็น Holding Company โดยไม่ได้มีการแปรรูปกิจการในลักษณะที่ต้องแสวงหาพันธมิตรร่วมทุนแต่อย่างใดเช่นเดียวกับธุรกิจเอกชนทั่วไปที่มีการจัดโครงสร้างการบริหารในลักษณะนี้ อย่าง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (มหาชน) หรือ ซี.พี. บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) บริษัท อินทัช โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ฯลฯ ที่ต่างอยู่ในสถานะที่เป็น Holding Company ทำหน้าที่กำกับทิศทางการพัฒนากิจการของบริษัทลูก และบริษัทร่วมทุนต่าง ๆ นับสิบหรือนับร้อยกิจการก่อนที่บริษัทแม่ คือ ปตท. จะดำเนินการแปรรูปกิจการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์กระจายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ กลายเป็น Holding Company ข้ามชาติที่มีบริษัทลูก บริษัทร่วมทุนอยู่นับร้อยบริษัท ก่อนจัดกลุ่มธุรกิจและผงาดเป็นกลุ่มธุรกิจพลังงานที่สร้างชื่อให้กับประเทศในเวทีโลกปัจจุบัน การจะเจริญรอยตามรูปแบบ PTT Model ดังกล่าว สองรัฐวิสาหกิจอย่าง TOT-CAT จำเป็นต้องกระจายธุรกิจที่มีอยู่ออกไปจัดตั้งเป็น “หน่วยธุรกิจ หรือ Business Unit : BU“ ก่อนจัดตั้งเป็นบริษัทลูก หรือบริษัทร่วมทุนกับภาคธุรกิจเอกชนโดยทั่วไป โดยที่ตัวองค์กรของบริษัทแม่ยังคงต้องทำหน้าที่เป็น Holding Company ในการกำกับดูแลและกำหนดทิศทางการพัฒนากิจการของบริษัทและบริษัทลูกในภาพรวม พร้อมผ่องถ่ายและกระจายพนักงานและฝ่ายบริหารลงไปบริหารกิจการบริษัทลูกบริษัทร่วมทุนเหล่านั้น เพื่อกระจายพนักงานที่มีมากล้นในองค์กรออกไปให้มากที่สุด อันจะส่งผลให้องค์กรลดความอุ้ยอ้ายลงไป หากจะพิจารณาเส้นทางการแปรรูปกิจการ ทั้งในส่วนของ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ก่อนหน้านั้น กล่าวได้ว่าได้มีการปรับโครงสร้างองค์กร โดยแยกเป็นหน่วยธุรกิจ หรือ BU ออกมาอย่างชัดเจนอยู่แล้ว มีการผ่องถ่ายผู้บริหารและพนักงานลงไปกำกับดูแลและบริหารกิจการต่าง ๆ เหล่านี้อยู่แล้ว แต่ก็กลับเป็นที่น่าเสียดายที่ ท้ายที่สุดก็กลับไม่มีการแยกหน่วยธุรกิจ ออกไปจัดตั้งบริษัทลูก บริษัทร่วมทุนใดๆ ตามมาแม้ในช่วงที่ผ่านมา ฝ่ายบริหารของสองหน่วยงานจะมีความพยายามจัดโครงสร้างองค์กรในลักษณะที่เป็น Profit Unit เพื่อแตกออกไปเป็นบริษัทลูก บริษัทร่วมทุน แต่ทั้งกระทรวงดีอี และกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นกลับไม่ให้การสนับสนุนหรือไฟเขียวให้ดำเนินการใด ๆ ที่เป็นรูปธรรมให้เลย“เอาแค่การจะอนุมัติแผนร่วมลงทุนทุนกับพันธมิตรธุรกิจ ประเภทให้เช่าเสาโทรคมนาคม และอุปกรณ์สื่อสารอุปกรณ์เชื่อมโยงก็พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ดึงเรื่องแล้วดึงเรื่องอีกและจำกัดอยู่แค่ให้เช่าเป็นหลัก แทนจะพัฒนาไปสู่การร่วมลงทุน การจัดตั้งบริษัทลูก หรือบริษัทร่วมทุนให้เป็นรูปธรรมตามรอยรัฐวิสาหกิจที่เขาประเสพผลสำเร็จมาแล้ว” อย่างล่าสุดที่บริษัท เอดับบลิวเอ็น ในเครือเอไอเอส ได้เสนอทำสัญญาเช่าเสาโทรคมนาคมทีโอทีที่เป็นเสาโทรคมนาคมตามข้อพิพาทเดิมมาตั้งแต่ปี 2557 หลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน โดยตกลงเช่าเสาเป็นเวลา 10 ปีตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 เป็นต้นมานั้น ก่อนหน้าก็เคยมีความพยายามที่จะให้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนหรือเป็นพันธมิตรธุรกิจกันมาก่อน เช่นเดียวกับที่บริษัท กสท โทรคมนาคม หรือ แคท ทำสัญญากับกลุ่มทรูมูฟ ในการเช่าเสาโทรคมนาคม แทนที่จะจัดตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนก็ไม่สามารรถทำได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทั้งทีโอที และแคทนั้นมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ที่สามารถจะจัดตั้งบริษัทลูก หรือบริษัทร่วมทุนเอกชนลงไปดำเนินการได้นับสิบบริษัทควบรวม “ทีโอที-แคท” เพื่อ...?หากจะถามว่าเป้าหมายของการเข้ารวมนั้น ยังผลดีอะไรต่อรัฐ คลัง และสององค์กรรัฐวิสาหกิจข้างต้น สำหรับพนักงานหรือประชาชนทั่วไปนั้นคงไม่อินังขังขอบอะไรด้วยแน่ แต่สำหรับรัฐและกระทรวงการคลังที่ถือเป็นผู้ถือหุ้นหลักของทั้งสององค์กรนั้น ได้ประโยชน์จากแผนควบรวมนี้เต็มพิกัด อย่าลืมว่า เมื่อกระทรวงการคลังคือผู้ถือหุ้นของทั้งสองหน่วยงาน การจะอนุมัติแผนการเงิน แผนการลงทุนอะไรลงไปก็ต้องเข้าไปเกี่ยวโยงทั้งในแง่การค้ำประกัน การลงทุน เรียกได้ว่าต้องลงทุนซ้ำซ้อนว่างั้นเหอะ เมื่อยุบมาเหลือองค์กรเดียว ย่อมประหยัดงบประมาณ ไม่ต้องไปลงทุนซ้ำซ้อนแต่หลังควบรวมแล้ว จะให้สองรัฐวิสาหกิจทำอะไรก็สุดยากจะคาดเดา เพราะในสถานการณ์การแข่งขันปัจจุบัน ในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมนั้น ตลาดไม่ได้เป็นไปในลักษณะ Blue Ocean อีกแล้ว ก็ถึงขนาดการประมูล 5 จีที่จะเกิดขึ้น ซึ่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เอง ยังต้องงัดมาตรการจูงใจให้เอกชนที่จะเข้ามาประมูลขอรับใบอนุญาต โดยจัดแพคเกจการประมูลคลื่นความถี่แบบ “มัลติแบนด์” ประมูลแบบหลายคลื่นพร้อมกันไป พร้อมกับเพิ่มมาตาการจูงใจในการขยายเวลาจัดเก็บค่าธรรมเนียม คือมี Grace period ให้ 3-5 ปีกันเลยทีเดียว“ตลาดโทรคมนาคมวันนี้ เปลี่ยนโฉมหน้าไปจากอดีตโดยสิ้นเชิงแล้ว แทบไม่หลงเหลือกิจการใด ๆ ไว้ให้หน่วยงานของรัฐได้ผูกขาดดำเนินธูรกิจใด ๆ อีกแล้ว แม้กระทั่งการประมูลเพื่อออกใบอนุญาต 4 หรือ 5 จีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เตรียมดำเนินการเปิดประมูลเพื่อออกใบอนุญาตอยู่เวลานี้ ก็ยังไม่เคยเหลียวดูองค์กรและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารของรัฐเลยว่า สนใจจะเข้าไปร่วมวงไพบูลย์หรือไม่ สภาพการณ์โทรคมนาคมในวันนี้ที่แทบจะไม่หลงเหลือกิจการอะไรไว้ให้เล่นแล้วนั้น คงต้องย้อนถามกลับไปยังคลัง และ คนร. แล้วแล้วจะให้สองหน่วยงานดังกล่าวดำเนินกิจการอะไร ในเมื่อมันไม่เหลืออะไรให้ทำอีกแล้ว”แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ขนาดองค์กรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมโดยรวม ยังไม่เคยยี่หระหรือเหลียวมามองสองหน่วยงานรัฐเลยว่า หลังควบรวมไปแล้วจะให้ทำกิจการงานใดต่อ หรือมีนโยบายเกื้อกูลกิจการรัฐวิสาหกิจของรัฐเป็นกรณีพิเศษ การประมูลคลื่นความถี่จะ 4 จี หรือ 5 จีที่จะมีขึ้นก็ไม่เคยมาถามไถ่ว่าสองหน่วยงานรัฐทีโอทีหรือแคทอยากร่วมทำไหม จะเข้าร่วมประมูลหรือไม่ หรือหากควบรวมกิจการกันไปแล้ว กสทช. พร้อมจะอนุเคราะห์จัดสรรคลื่นความถี่เป็นกรณีพิเศษให้แต่นี่ทำราวกับว่า ไม่มีสองหน่วยงานรัฐวิสาหกิจนี้อยู่บนโลก แถมนโยบายภาครัฐและกระทรวงการคลังเองก็มุ่งมั่นอยู่แต่แผนควบรวมกิจการ ไม่ได้คิดอ่านต่อไปเลยว่าหลังควบรวมแล้วจะให้ทำอะไรสภาพของสองรัฐวิสาหกิจด้านการสื่อสารของประเทศวันนี้ จึงไม่ต่างไปจาก ขสมก. ที่เผชิญกับการแข่งขันจากบรรดารถร่วมและบริการขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่น ๆ เต็มพรืดเต็มถนน วันดีคืนดีผู้ถือหุ้นใหญ่หรือคลังไม่อยากจะแบกรับภาระจ่ายเงินสองทาง จึงหวังจับสองหน่วยงาน “มัดตราสัง” เป็นบริษัทเดียวกันให้สิ้นเรื่องสิ้นราว จะได้จัดองคาพยพ ปรับลดบุคลากร ลดการลงทุนซ้ำซ้อน ตามหลักเกณฑ์ M&A สุดแต่จะบรรยายกันไปแต่ถามต่อไปว่า หลังควบรวมกิจการกันไปแล้วจะให้ทำอะไร เชื่อแน่ว่าต่อให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการรัฐนโยบายวิสาหกิจที่เป็นต้นคิดก็คงตอบไม่ได้แน่ เพราะตนเองก็ไม่ได้ล่วงรู้สภาพการณ์ของตลาดโทรคมนาคมในปัจจุบันแม่แต่น้อย เราจึงต้องถามย้ำตรงว่า จะจัดทำแผนควบรวมกิจการทีโอที-แคทไปเพื่อ...?อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: -ควบรวมกิจการ "TOT-CAT" บทสะท้อนความล้มเหลว คนร.โดยแท้! (1)http://www.natethip.com/news.php?id=1022