เตี๊ยม...ไม่เตี๊ยม? แต่ “อุ้ม-โลคอสต์แอร์ไลน์” แน่! งานนี้ เหมือนจะ “สอดไส้-ลักไก่” นำเข้าที่ประชุม ครม. หวังช่วยลดอัตราภาษีน้ำมันสำหรับเครื่องบินบินไอพ่น ยาวนานถึง 8 เดือนเต็ม ล้ำหน้าผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ที่ได้รับผลจากไวรัสโคโรน่าเหมือนกัน
ปรากฏการณ์ “ลักไก่” ของกระทรวงการคลังรอบนี้ ทำเอาหลายคนที่เคยเกาะติดข่าว...กลุ่มผู้ประกอบการสายการบินต้นทุนต่ำ (โลคอสต์แอร์ไลน์) “ชงเรื่อง” ให้กระทรวงการคลัง เร่งดำเนินการผ่อนปรนวิกฤติของพวกเขา ด้วยการลดอัตราภาษีสรรพสามิต น้ำมันสำหรับเครื่องบินบินไอพ่น ช่วงกลายเดือน พ.ย. 2562
มองไม่เห็น “นัยยะแฝง” ที่ผูกมากับปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทั้งหมดล้วนได้รับผลกระทบจากผลพวงภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย และปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2019 กระทั่งคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบตามมาตรการที่กระทรวงการคลังเสนอไว้ เมื่อวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ลึกๆ เรื่องนี้ มีการ “เตี๊ยมกัน” ระหว่าง...แกนนำกลุ่มโลคอสต์แอร์ไลน์ กับฝ่ายการเมืองในกระทรวงการคลัง
แอบชงเรื่องเข้ามาในช่วงที่มีการอัดและออกแคมเปญ...ทั้งมาตรการ “ชิมช้อปใช้เฟสใหม่” กับโครงการบ้านในฝัน รับปีใหม่ ที่กระทรวงการคลัง ร่วมสถาบันการเงินของรัฐ และ 3 สมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายกลาง-ใหญ่
อาศัยช่วงมะรุมมะตุ้ม “สอดไส้” ผสมโรงไปกับมาตรการหลักๆ ทั้งมาตรการทางการเงินและมาตรการทางภาษี ที่กระทรวงการคลังและรัฐบาล ต้องการจะพุ่งเป้าช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ
เป้าหมายที่คนกลุ่มนี้ อยากได้คือ..ให้กรมสรรพสามิตลดอัตราภาษีน้ำมันสำหรับเครื่องบินบินไอพ่นลด จากปัจจุบันที่จัดเก็บในอัตรา 4.726 บาทต่อลิตร ลงมา
กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต จะเลือกทางหนึ่งทางใดใน 2 เงื่อนไขที่กลุ่มเอกชน ภายใต้การนำของ นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทไทย แอร์เอเชีย เสนอไว้ก็ได้ นั่นคือ...
1. ลดอัดตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันสำหรับเครื่องบินไอพ่นลงจาก 4.726 บาทต่อลิตร สู่ระดับที่เหมาะสม ซึ่งจะมีการหารือกันอีกครั้ง และอาจกำหนดเป็นช่วงเวลาเยียวยา 2 ถึง 3 ปี จนกว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น
หรือ 2. กำหนดอัตราการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันสำหรับเครื่องบินไอพ่นเป็นขั้นบันได ตามอัตราแลกเปลี่ยน โดยจะมีการตั้งคณะทำงานร่วม เพื่อพิจารณาแนวทางที่เหมาะสม และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
จากนั้น สังคมไทยก็ถามหาเหตุผลที่แท้จริงว่า ลึกๆ แล้ว ทั้ง 5 สายการบิน ประกอบด้วย ไทยแอร์เอเชีย ไทยเวียดเจ็ท นกแอร์ ไทยไลออนแอร์ และบางกอกแอร์เวย์ ต้องการอะไรกันแน่
ด้วยเหตุที่ราคาน้ำมันในตลาดโลก ก็ดำดิ่งมาอย่างต่อเนื่อง จนเหลือเพียง 3 ดอลลาร์เศษๆ ต่อบาเรล ขณะที่เงินบาทของไทยก็แข็งค่าขึ้นมาก
ทั้ง 2 ปัจจัย...น่าจะสร้างโอกาสและทำกำไรอย่างมากให้กับธุรกิจสายการบินโลคอสต์ฯ ด้วยซ้ำไป
หากจะพูดถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ช่วงที่ยื่นเรื่องเข้ามาที่กระทรวงการคลัง ซึ่งในขณะนั้น...ที่เมืองจีน, ในประเทศไทย และบนโลกใบนี้ ก็ยังไม่มีปัญหาเรื่อง “ไวรัสโคโรนา” ด้วยซ้ำไป
ฉะนั้น การที่อ้างว่า...จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้า-ออกไทย ลดลงนั้น สถานการณ์ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2562 ยังถือว่าเป็นช่วง “ไฮซีซั่น” สำหรับการท่องเที่ยวในประเทศไทย
ประเด็นที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เมื่อวันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 มีหลายเรื่อง และเกี่ยวพันกับการใช้มาตรการทางภาษีและมาตรการทางการเงินเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและที่เกี่ยวเนื่องกัน อันเป็นผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่
“สำนักข่าวเนตรทิพย์” สรุปสั้นๆ กับมติคณะรัฐมนตรีในวันนั้น ดังนี้...
มาตรการด้านภาษี ได้แก่ 1. การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี ให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร ภ.ง.ด. 90 และ ภ.ง.ด. 91 ซึ่งจะต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีภายในเดือน มี.ค. 2563 โดยให้ขยายกำหนดเวลาดังกล่าวออกไปเป็นภายในเดือน มิ.ย.2563
2. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหักรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จัดขึ้น ให้แก่ลูกจ้าง หรือรายจ่ายที่ได้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เพื่อการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2563 เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง
3. มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกจิการโรงแรม โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม หักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการต่อเติมเปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค.2563 เป็นจำนวน 1.5 เท่าของรายจ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริง
4. มาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับนำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น (น้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินฯ) โดยปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินฯ ที่นำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเที่ยวบินในประเทศ จากเดิม 4.726 บาทต่อลิตร เหลือ 0.20 บาทต่อลิตร ถึงวันที่ 30 ก.ย.2563
ด้านมาตรการด้านการเงิน มอบหมายให้สถาบันการเงินของรัฐ มีการดำเนินมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขผ่อนปรน และการขยายเวลาชำระหนี้และค่าธรรมเนียม เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับเสริมสภาพคล่องและปรับปรุงสถานประกอบการ สำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา รวมถึงเพื่อแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการในช่วงที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ประกอบด้วย
1. มาตรการขยายเวลาชำระหนี้และค่าธรรมเนียม ได้แก่ (1) ธนาคารออมสิน ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ให้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญา สูงสุดไม่เกิน 5 ปี
(2) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย พักชำระหนี้เงินต้น สำหรับเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีวงเงินคงเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน โดยต้องมีประวัติการผ่อนชำระหนี้
ดีไม่น้อยกว่า 6 เดือน ก่อนวันเข้าร่วมโครงการ และต้องไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
(3) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ผัดผ่อนการชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน ต่อเนื่องไม่เกิน 5 ครั้ง หรือสามารถขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ได้ไม่เกิน 20 ปี
(4) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และงวดผ่อนชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน โดยคิด
อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ส หรับลูกค้าผู้ได้รับผลกระทบ เช่น ไกด์นา เที่ยว พนักงานโรงแรมผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว เป็นต้น
(5) บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม พักการชำระค่าธรรมเนียมการค้า ประกันสินเชื่อ 12 เดือน สำหรับลูกค้าธุรกิจบริการท่องเที่ยว ร้านอาหารและโรงแรมที่พักที่ได้รับผลกระทบ
2. มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเงื่อนไขผ่อนปรน ของธนาคารออมสิน ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และธนาคารกรุงไทย วงเงินรวม 123,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยเริ่มต้น ร้อยละ 3 ต่อปี
คราวนี้ ลองย้อนไปดูที่มาตรการภาษี โดยเฉพาะ ข้อ 4. มาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับนำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น
อย่างที่ตั้งข้อสังเกตในตอนต้นว่า...สถานการณ์ตอนนั้น (พฤศจิกายน 2562) การท่องเที่ยวยังอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้เงินบาทจะแข็งค่า แต่ก็เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการนำเข้าน้ำมันดิบ (น้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินฯ) แถมราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงนั้น ยังต่ำเตี้ยเรี่ยดินอีกต่างๆ
ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่รัฐบาลจะต้องเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการ “โลคอสต์แอร์ไลน์”
แต่ก็นะ! หากเป็นเรื่องของการ “เตี๊ยมกันมา” อะไรที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย ย่อมต้องปรากฏให้ได้เห็น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ข้อเท็จจริง! กับมาตรการที่ภาครัฐมีให้กับ 5 ผู้ประกอบการ “โลคอสต์แอร์ไลน์” รอบนี้ ควรหรือไม่? ที่จะอยู่ยาวนานถึง 8 เดือนเต็ม นับแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงกันยายน 2563
หากจำเป็นต้องช่วย...เหตุใด? ไม่ช่วยเหลือกันแค่ 3-4 เดือน เหมือนผู้ประกอบการท่องเที่ยวรายอื่นๆ เล่า!