ยังคงเป็นประเด็นร้อนฉ่า..
กับเรื่องของ “กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” ที่กำลังถูกสังคมตั้งข้อกังขา ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนรัฐบาลสู่ยุคใด สมัยใด ก็ยังคงส่งต่อภารกิจเข้าข่าย “ชงเองกินเอง” นักการเมืองที่เข้ามากำกับดูแลยังคงส่งคนของตัวเองเข้าไปทำมาหากิน จัดสรรผลประโยชน์กันเป็นล่ำเป็นสัน!
ล่าสุด ในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่จับพัดจับผลูมาเป็น รมว.กระทรวงพลังงาน ชนิดที่วินาทีนั้นเป็นการ "แย่งเนื้อจากปากเสือ” ก็มีการขุดคุ้ยข้อมูล “บุคคลใกล้ชิดนักการเมือง” ในรัฐบาลปัจจุบัน ดอดเข้าไป ”นั่งเป็นคณะอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการ” ที่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนฯ เต็มพรึ่ด!
ทั้งนางวณี ปิ่นประทีป ภรรยา “นพ.พลเดช ปิ่นประทีป” สมาชิกวุฒิสภา และคณะทำงานดูแลงานประชาสังคมของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หรือ “นายอนุรุทธิ์ นาคาศัย” เลขานุการ รมว.พลังงาน น้องชายนายอนุชา นาคาศัย ส.ส.ชัยนาท แกนนำกลุ่มสามมิตรและประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งภาคกลาง พปชร.เอง
ตอกย้ำให้เห็นภาพชัดว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใด กลุ่มทุนการเมืองยังคงมีการส่งต่อ และสานต่อภารกิจในการล้วงลูกเข้าไปแบ่งสันปันส่วน จัดสรรผลประโยชน์เพื่อเกื้อหนุนพวกพ้องของตนเองอย่างต่อเนื่อง
ย้อนรอยขบวนการ “ชงเอง-กินเอง”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่ฝ่ายการเมืองส่งบุคคลใกล้ชิดเข้าไปนั่ง หรือมีส่วนในการพิจารณาจัดสรรโครงการต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยเจตนารมณ์อย่างไรก็ยากจะปฏิเสธได้ว่า นี่คือการ ”ล้วงลูกจัดสรรผลประโยชน์” เพื่อเกื้อหนุนให้พวกพ้อง หรือกลุ่มทุนฐานเสียงของตนเองหรือไม่
ไม่ว่าจะตั้งคณะทำงาน หรืออนุกรรมการกลั่นกรองกันขึ้นมากันกี่ชุด หากคณะทำงานหรืออนุกรรมการเหล่านั้น มีคนของพรรคการเมืองหรือบุคคลใกล้ชิดเข้าไปนั่งแป้นแร้นทำหน้าที่พิจารณาโครงการอยู่ด้วย มันก็ยากที่จะปฏิเสธในเรื่องของ ผลประโยชน์ขัดแย้ง ที่ยังคงคละคลุ้งอยู่
และหากทุกฝ่ายจะได้ย้อนกลับไปพิจารณาเส้นทางการจัดสรรเงินสนับสนุนจากกองทุนดังกล่าว ก็จะเห็นได้ว่าไม่ว่ายุคใดสมัยใด ก็ล้วนแต่แยกไม่ออกจากผลประโยชน์ที่ ”ซุกอยู่ใต้พรม” และล้วนเกี่ยวเนื่องกับ นักการเมืองกลุ่มสนทนาการเมืองที่กำกับดูแลกระทรวงนี้ทั้งสิ้น
แม้กระทั่งในรัฐบาลปฏิรูป คสช. ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เราก็ได้ประจักษ์กับกระแสข่าวที่นายกฯ สั่งตรวจสอบการใช้งบกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่มีวงเงินกว่า 10,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2561 หลังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เข้าหูว่า มีกลุ่มทุนการเมืองล้วงลูกเข้ามาจัดสรรเงินกองทุนดังกล่าว และมีการจัดสรรผลประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนทางการเมืองกันอย่าง “โจ๋งครึ่ม"
ก่อนที่จะมีการสั่งรื้อโครงการที่ขอรับจัดสรรกันยกกระบิ และยังมีการเด้งข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพลังงานที่รับผิดชอบดูแลกองทุนดังกล่าวจนเป็นข่าวฮือฮากันมาแล้ว
หากจะย้อยรอยไปช่วงก่อนหน้า หลังการรัฐประหาร พ.ค.2557 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่มี พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ ปลัดบัญชีทหารบกในขณะนั้น เป็นประธานเพื่อดำเนินการตรวจสอบโครงการลงทุนที่มีวงเงินเกิน 1,000 ล้านบาทของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างถึงพริกถึงขิงนับสิบโครงการ
โดย 1 ในโครงการที่ถูกตรวจสอบอบด้วยก็คือ “การใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน” ซึ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหนาหูว่า มีนักการเมืองเข้าไปพัวพันในลักษณะ “ชงเองกินเอง” เปิดช่องให้มีการเอื้อประโยชน์ต่อบางกลุ่มธุรกิจ และเป็นโครงการที่มุ่งเน้นไปในการหาเสียง ก่อนจะมีคำสั่งให้รื้อและระงับการดำเนินโครงการที่ตั้งแท่นกันเอาไว้ร่วม 30 โครงการในเวลาต่อมา
“สนธิรัตน์” โต้..แก้เรื่อง “ชงเองกินเอง”
แม้ห้วงเวลานี้ รมว.กระทรวงพลังงาน จะหลุดบ่วงไม่อยู่ในลิสต์เป้าหมายที่พลพรรคฝ่ายค้านยื่นจองกฐินขอซักฟอก แต่ก็เชื่อแน่ว่า ควันหลงของการอภิปราย คงจะมีรายการกระทบชิ่งมายังกระทรวงพลังงานด้วยเป็นแน่ โดยเฉพาะในเรื่องของโรงไฟฟ้าชุมชนที่เจ้าตัวประกาศลั่นทุกอย่างต้องโปร่งใส พร้อมคาดโทษหนักหากพบเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องเรียกรับสินบน
แต่อย่างไรก็ตาม การที่ รมว.กระทรวงพลังงาน แต่งตั้งบุคคลใกล้ชิดเข้าไปนั่งอยู่ในอนุกรรมการกลั่นกรองโครงการด้านพลังงานในกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานข้างต้นนั้น ก็ทำให้เกิดความเคลือบแคลใจว่า จะสามารถสร้างความโปร่งใสได้กี่มากน้อย
อย่างไรก็ตาม นายสนธิรัตน์ ได้ออกโรงโต้แย้งประเด็นดังกล่าวอย่างเผ็ดร้อน โดยระบุว่า “การแต่งตั้งนางวณี ปิ่นประทีป และนายอนุรุทธิ์ เข้าเป็นคณะอนุกรรมการฯนั้นเป็นเจตนาดีในการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุติ ที่มาจากองค์กรภาคประชาชน และตัวแทนฝ่ายการเมืองเข้าไปร่วมกลั่นกรองโครงการให้มีความรัดกุมรอบคอบ เพื่อแก้ไขปัญหาการชงเอง-กินเอง เช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีต”
พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่า มีการการนำเงินกองทุนออกมาใช้ทำโครงการอนุรักษ์พลังงานต่างๆ เพื่อสร้างฐานคะแนนเสียงให้กับ ส.ส. ของพรรค พปชร. โดยนายสนธิรัตน์ ย้ำว่าการมีอนุกรรมการกลั่นกรองจะช่วยทำให้การอนุมัติงบประมาณกองทุนจากนี้ไปก็จะมีความรัดกุมรอบคอบมากขึ้น จากเดิมที่ไม่มี
นอกจากนี้ ยังจะมีคณะอนุกรรมการติดตามช่วยประเมินโครงการด้วย ซึ่งทั้งสองกลไกจะช่วยแก้ปัญหาเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการอนุมัติงบประมาณในอดีต และช่วยตัดวงจรการชงเองกินเองแบบที่เคยเกิดในอดีต
งานนี้ต้องจับตาชนิดห้ามกะพริบว่า การแก้ข้อครหา “ชงเองกินเอง” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จะสำเร็จหรือแค่ราคาคุย!