
เปลี่ยนหัวหน้าพรรค พปชร.ได้ ก็เปลี่ยนเก้าอี้ “ขุนคลัง” ได้ แล้วปรากฏการณ์ “รุมทึ้ง” เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะก้อนหลัง “งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท” จากฝูง “ฮายีน่า” ก็คงจะมีให้เห็นกัน แบบไม่เกรงกลัวอาญา ไม่อายฟ้าดิน!
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นการพิจารณาพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอจำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย..
- ฉบับที่ 1 พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563
- ฉบับที่ 2 พ.ร.ก.การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563
- ฉบับที่ 3 พ.ร.ก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ.2563
- ฉบับที่ 4 พ.ร.ก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ.2563
การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ จะไปสิ้นสุดในช่วงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 31 พฤษภาคม ด้วยการลงมติเสียงข้างมาก ซึ่งเดากันได้ว่า...ถึงอย่างไรเสีย พ.ร.ก.ทั้ง 3 ฉบับ ก็คงต้องผ่านการลงมติ ด้วยเสียงข้างมากอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่สิ่งที่ฝ่ายค้าน ประสงค์จะตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ดูทรงเจ้าท่าทีของรัฐบาล และ ส.ส.ฝั่งรัฐบาลแล้ว น่าจะยาก...ฟังเสียง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม บางตอนระหว่างชี้แจงในที่ประชุมสภาฯ ทำนอง “ไม่อยากให้ทุกคนคิดว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย จะใช้แต่เงินอย่างเดียว ที่ผ่านรัฐบาลทำงานและแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องชาวบ้าน การใช้จ่ายเงินทั้งในส่วนงบประมาณฯและ พ.ร.ก. มีกลไกการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สตง. ป.ป.ช. ปปง. ป.ป.ท. ไม่ใช่ว่าคณะกรรมการกลั่นกรองที่ตรวจสอบได้เพียงชุดเดียว” แล้ว
เดาต่อไปได้ว่า...งานนี้ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อตรวจสอบการใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท คงต้อง “แท้งก่อนท้อง” อย่างไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย?
สรุปให้สั้น! รอบนี้...รัฐบาลออก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ให้กระทรวงการคลังนำไปดำเนินการแก้ไขปัญหาข้างต้น ด้วยการแยกเงินออกเป็น 2 ก้อน...
ก้อนแรก 6 แสนล้านบาท ใช้เพื่อการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและใช้ในทางการแพทย์เพื่อต่อสู้กับไวรัสโควิด-19
เม็ดเงินก้อนนี้...แม้รัฐบาลจะเพิ่งกู้เงินในประเทศ ผ่านการออกพันธบัตรพิเศษของกระทรวงการคลังวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท ได้เพียง 2 สัปดาห์ ทว่า...การใช้จ่ายเพื่อการเยียวยาฯ และการสาธารณสุข มีการเบิกจ่ายจากแหล่งอื่นไปใช้ล่วงหน้ากันแล้ว พูดให้ง่ายคือ...ใช้จ่ายไปก่อน ได้เงินกู้มาเมื่อไหร่ ค่อยนำไปคืน
ตรงนี้ เชื่อว่าคนไทยทำใจรับกันได้ เพราะจะปล่อยให้การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ หรือแม้แต่จะให้บุคลากรทางการแพทย์หยุดทำการรักษาพยาบาลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพราะรัฐบาลไม่มีเงิน...ก็คงไม่ใช่
ฉะนั้น เม็ดเงินกู้ก้อนแรก 6 แสนล้านบาท คนไทยไม่ได้ติดใจอะไรนัก..
แต่ที่สังคมไทยในหลายๆ ภาคส่วน ต่างรู้สึกตะหงิดๆ น่าจะเป็น ”เม็ดเงินก้อนหลัง อีก 4 แสนล้านบาท ที่รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง เตรียมจะนำมาใช้เพื่อการฟื้นฟูปัญหาเศรษฐกิจและสังคม หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง”..
เงินก้อนนี้แหล่ะ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการ “ท้ารบ” ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถึงขั้นจะเปลี่ยน “หัวหน้าและเลขาธิการพรรคฯ” กันเลยทีเดียว รวมถึงในพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะ 2 พรรคใหญ่ อย่าง...ภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์
ทุกคน ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงาน นี้ รวมถึงพวก ส.ส.ฝั่งรัฐบาล และที่ไม่ใช่ ส.ส.ด้วย ทั้งหมด...กระสันจะได้ส่วนแบ่งจากเงินก้อน 4 แสนล้านบาท

แต่ระดับ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดีกรี...หัวหน้าทีม “4 กุมาร” ประกอบด้วย นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง (หัวหน้าพรรค พปชร.) นายสนธิรัตน์ สินธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน (เลขาธิการพรรคฯ) นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รองหัวหน้าพรรคฯ) และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ก็ไม่ใช่หมูที่จะให้นักการเมืองเขี้ยวลากดิน...รุมทึ้งงบก้อนนี้กันง่ายๆ
สังคมไทยจึงได้เห็นปรากฏการณ์ “คนกันเอง” สร้างพฤติกรรม “น้ำเน่า” หวังเปลี่ยนม้ากลางศึก! ทั้งในระดับพรรคการเมือง และระดับรัฐบาล ถึงขั้น...เปลี่ยนตัว หัวหน้าพรรคฯ เลขาธิการพรรคฯ ซึ่งนั่น...รวมถึงเป้าใหญ่ คือ เปลี่ยนตัว รมว.คลัง และ รมว.พลังงาน
โดยเฉพาะ นายอุตตม ดูจะเป็นเป้าหมายใหญ่ เพราะนั่งกำกับดูแลกระทรวงการคลัง และเงินก้อน 4 แสนล้านบาท ที่เตรียมจะนำไปใช้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในช่วงไม่กี่วันข้างหน้านี้
หากยังจำกันได้ เป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ของ พปชร. ที่แสดงออกถึงท่าทีและความต้องการสร้างความเปลี่ยนภายในพรรค พปชร. เมื่อเดือนเมษายน ระหว่างที่ ไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดอย่างรุนแรง ประมาณว่า...

คนในพรรคส่วนใหญ่...ไม่พอใจเพราะนายสมคิด และ “4 กุมาร” เนื่องจากที่ผ่านมา...ไม่ดูแลพรรค ไม่มีความสัมพันธ์กับ ส.ส. และที่สำคัญไม่เข้าใจการเมือง
แปลความให้เข้าใจง่ายๆ เป็นเพราะ...นายสมคิดและนายอุตตม ไม่ให้ในสิ่งที่ผู้ใหญ่ และ ส.ส. พปชร. “ขอมา” นั่นคือ การเข้าไปเอี่ยวกับเม็ดเงิน ตั้งแต่...บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.6 ล้านใบ รวมถึงมาตรการ/โครงการต่างๆ ที่กระทรวงการคลัง นำออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น “ชิมช้อปใช้” จนถึงเงินเยียวยา และเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ ในรอบใหม่นี้
ลำพัง...บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ บรรดา ส.ส.คงไปเอาประโยชน์ในรูปตัวเงินไม่ได้มากนัก แต่หากนำไปมอบให้ชาวบ้าน ผ่านหัวคะแนนและเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นได้ ก็เท่ากับ “ผูกใจ” ชาวบ้านไปเต็มๆ เลือกตั้งครั้งใด...ก็นอนมา เพราะโชว์ให้เห็นแล้วว่า “ข้าทำได้และได้ทำ(ให้)แล้ว”
สำหรับ...ก้อนเงินเยียวยา โดยเฉพาะเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาทแล้ว หากปล่อยเงินเยียวยา 5,000 บาท ผ่านโควตาของ ส.ส.พปชร.ได้ ตรงนี้จะสร้างแรงเหวี่ยงมหาศาล ทั้งต่อ “เงินทอน” และฐานเสียงทางการเมือง ได้อย่างรุนแรงทีเดียว
แต่ นายสมคิดและนายอุตตม กลับเลือกที่จะไม่ทำตามใจ ส.ส.พปชร. และ “บิ๊กป้อม” มันจึงเป็นที่มาของขบวนการจ้องจะ “เปลี่ยนม้ากลางศึก”
หากทำสำเร็จ...ก็แน่นอนว่า จะไม่เปลี่ยนแค่ตัว “หัวหน้าและเลขาธิการพรรคฯ” แต่งานนี้...จะเปลี่ยนไปถึง เก้าอี้ รมว.คลัง ด้วย และหากเป็นเช่นนั้น...
ปรากฏการณ์ “ฝูงสุนัขฮายีน่า” จะเข้าไปรุมทึ้งงบประมาณ ในมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท ก็คงจะมีให้เห็นกันแบบจะจะ ชนิดไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมกันแล้ว
จับตาชนิดอย่ากะพริบ..ยามนี้ “เสือหิว...สิงห์โหย” ถอยไป!
ฝูงฮายีน่า...กระหายเลือดและเงิน 4 แสนล้านบาท กำลังจะมาแล้ว!!!