บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เผยผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 2563 เติบโตตามเป้าหมาย บอร์ดเคาะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ในอัตราหุ้นละ 3 บาท เดินหน้าต่อยอดการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ ขยายสู่ธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค และธุรกิจ Smart Energy Solution เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก มีความก้าวหน้าและเป็นไปตามแผนงาน โดยสามารถขยายการลงทุนและปักธงบนพื้นที่ใหม่ในไต้หวันอย่างเป็นทางการ จากการซื้อหุ้นในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล “หยุนหลิน” กำลังการผลิต 640 เมกะวัตต์ ได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งทำให้สัดส่วนของพอร์ตพลังงานหมุนเวียนของเอ็กโก กรุ๊ป เพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2563 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทมีกําไรสุทธิ จำนวน 5,075 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,127 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2562 โดยสาเหตุหลักมาจากมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 4,662 ล้านบาท ลดลงจำนวน 3,035 ล้านบาท หรือคิดเป็น 39% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) อยู่ที่ 1.19 เท่า ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการบริษัทมีมติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 3 บาท ในวันที่ 17 กันยายน 2563
ด้านโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 4 โครงการ ซึ่งมีความก้าวหน้าตามแผนงาน ประกอบด้วยโครงการโรงไฟฟ้า 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง “กังดง” ในเกาหลีใต้ ก่อสร้างแล้วเสร็จ 98% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” ใน สปป.ลาว ก่อสร้างแล้วเสร็จ 74% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 และโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งทะเล “หยุนหลิน” ในไต้หวัน ก่อสร้าง แล้วเสร็จ 48% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 นอกจากนี้ ยังมีโครงการธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง 1 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก่อสร้างแล้วเสร็จ 43% ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาสที่ 4 ปี 2564
สำหรับทิศทางการลงทุน นายเทพรัตน์ กล่าวว่า เอ็กโก กรุ๊ป มุ่งมั่นขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจ ทั้งด้านการผลิตและให้บริการด้านพลังงาน ครอบคลุมธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งยังคงเป็นธุรกิจหลัก ทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและพลังงานหมุนเวียน โดยเปิดกว้างเรื่องพื้นที่การลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ในธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและระบบสาธารณูปโภค โดยได้เริ่มลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเชื้อเพลิง (Fuel Infrastructure) ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจหลัก เช่น โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น และธุรกิจ Smart Energy Solution ในฐานะผู้ให้บริการด้านนวัตกรรมพลังงานอย่างครบวงจร เช่น การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง ให้เป็น Smart Industrial Estate ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำ EIA โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 และการพัฒนาโครงการโซลาร์ ในรูปแบบ Solar Solution Provider ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้าอุตสาหกรรมและอาคารพาณิชย์ เป็นต้น
“เอ็กโก กรุ๊ป ยังคงมุ่งเน้นเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจไฟฟ้าซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญของบริษัท โดยการบริหารพอร์ตโรงไฟฟ้าในกลุ่มด้วยการกระจายเชื้อเพลิงที่หลากหลาย ทั้งก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง ในขณะเดียวกัน บริษัทยังเดินหน้าขยายการลงทุนไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานทั้งต้นน้ำและปลายน้ำแบบครบวงจร เพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจในภาพรวม ซึ่งจะสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืนในอนาคต” นายเทพรัตน์ กล่าวสรุป
เกี่ยวกับเอ็กโก กรุ๊ป
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 เอ็กโก กรุ๊ป มีโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 28 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 5,475 เมกะวัตต์ และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 3 โครงการ คิดเป็นกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายตามสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 331 เมกะวัตต์ และ โครงการธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่องที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 1 โครงการ ได้แก่ โครงการขยายระบบขนส่งน้ำมันทางท่อไปยังภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยโรงไฟฟ้าและโครงการต่างๆ ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลากหลายประเภททั้งก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ และเซลล์เชื้อเพลิง และตั้งอยู่ใน 7 ประเทศ ได้แก่ ไทย สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และไต้หวัน