ไบโอไทยชี้ผลพวงการปล่อยให้มีผู้มีอิทธิพลเหนือตลาดครอบครองระบบค้าปลีก ทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าราคาแพงระยับและเกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบ
โดยมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไทย) ได้สำรวจราคากล้วยหอมที่วางขายในห้าง TESCO สหราชอาณาจักร เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2563 ที่ผ่านมา พบว่า ห้างแห่งนี้จำหน่ายกล้วยหอม ซึ่งผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ และติดตรามาตรฐานแฟร์ เทรด ในราคาใบละ 11 บาท (ขนาดกล้วยหอมมีน้ำหนักเฉลี่ย 170 กรัมต่อใบ) ในขณะที่ผู้บริโภคในประเทศไทยต้องซื้อกล้วยหอมจากร้านสะดวกซื้อที่มีน้ำหนักประมาณ 120 กรัม ในราคาใบละ 9 บาท ทั้งๆ ที่รายได้เฉลี่ยของคนไทยน้อยกว่ารายได้ประชาชนในสหราชอาณาจักรกว่า 8 เท่าตัว
“คนอังกฤษกินกล้วยในราคาเท่าๆ กับคนไทย ทั้งๆ ที่เป็นกล้วยคุณภาพดี ผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์ ไม่ใช้ปุ๋ย และสารเคมีกำจัดศัตรูพืช อีกทั้งยังมาจากการผลิตที่แรงงานและเกษตรกรผู้ผลิตจะได้รับเงินพิเศษเพิ่มอีก ก.ก.ละ 1.65 บาท หรือประมาณ 30 สตางค์จากกล้วยทุกใบที่ผู้บริโภคซื้อจากระบบการค้าที่เป็นธรรม”
การที่รัฐไทยปล่อยให้มีผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ครอบครองส่วนแบ่งตลาดกิจการค้าปลีกสมัยใหม่เกือบสมบูรณ์แบบ จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคยิ่งไปกว่าที่เคยเป็นมา สินค้าโดยเฉพาะอาหารจะมีราคาแพง หลากหลายน้อยลง ในขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อย และเกษตรกรจะถูกเอารัดเอาเปรียบมากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ เพราะปราศจากการแข่งขัน ดัชนีราคากล้วยหอม คือสัญญาณบ่งชี้ปัญหาร้ายแรงในระบบเกษตรกรรมและอาหารที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการผูกขาดรวมศูนย์ดังกล่าว
ด้านมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไทย ได้เผยแพร่ข้อมูลทางเฟสบุ๊คถึงกรณีราคากล้วยหอมที่่มีราคาสูง แต่เกษตรกรได้รับรายได้น้อยว่า ขณะที่คนไทยซื้อกล้วยหอมราคาใบละ 9 บาท จากร้านสะดวกซื้อ ทราบหรือไม่ว่า รายได้สุทธิที่เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยหอมจะได้รับนั้นอยู่ที่เฉลี่ยใบละ 50 สตางค์เท่านั้น
ทั้งนี้ ไบโอไทยใช้งานศึกษาของนักวิชาการ จากภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พบว่า เกษตรกรจะมีรายได้สุทธิเพียง 50 สตางค์ต่อกล้วยหอม 1 ใบ (ขนาดมาตรฐานใบละ 120 กรัม) หลังจากหักต้นทุนการผลิตแล้ว