ที่สุด! ปมเรียกคืนเบี้ยยังชีพคนชรา กรณีหลาย อบต.ทั่วไทย “โชว์โง่เอง” จ่ายให้โดยไม่ตรวจสอบว่า “ซ้ำซ้อนกัน” ได้ข้อสรุปแล้ว“ชะลอฟ้องร้องดำเนินคดี” และมีแนวโน้ม “ยกเว้น!” เอาผิดกับคนชรา ส่วน “เงินแผ่นดิน” ที่จะต้องสูญเสียไปกับกรณีนี้ ก็ต้องไม่หาย? ใครจ่าย คนนั้น...รับผิดชอบ!
ดราม่า...มาตลอด 2 สัปดาห์เต็ม! กับปม “เรียกคืนเบี้ยยังชีพคนชรา”
เสียงก่นด่า...ดังมาจากทั่วทุกสารทิศ พุ่งเป้าไปยัง...กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง หน่วยงานที่ให้ความเห็นในประเด็นข้อกฎหมาย หลังจากองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เจริญสุข จ.บุรีรัมย์ มีหนังสือสอบถามไปยังกรมบัญชีกลาง กระทั่งได้รับคำตอบ...
จากนั้น...อบต.เจริญสุข ได้ส่งหนังสือเรียกคืน “เบี้ยยังชีพคนชรา” จากคุณยายบวน โล่สุวรรณ หญิงชราวัย 89 ปี ชาวบ้านใน ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์
ขอคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยรวมวงเงิน 8.4 หมื่นบาท
เหตุเพราะ อบต.เจริญสุข จ่ายซ้ำซ้อนกับ “เงินบำนาญทายาท” ที่คุณยายบวน ได้รับเดือนละ 5,000 บาท กรณีบุตรชาย คือ “จ.ส.อ.จักราวุทธ โล่ห์สุวรรณ” ทหารสังกัด มทบ.21 นครราชสีมา เสียชีวิตจากเหตุร้าย...คลังแสงระเบิดที่โคราช เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544
กรณีนี้ สังคมไทย...เชื่อเต็มร้อย! อบต.เจริญสุข ผิดพลาดมาตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปี
แล้วก็ไม่ได้มีแค่เพียง กรณีของคุณยายบวน เพราะหลังจากนั้น...มีเรื่องราวทำนองเกิดขึ้นตามมามากมาย กระจายไปทั่วประเทศ
ทว่า...ความเขี้ยวในทางการเมืองที่มี “เหนือกว่า” เสียงก่นด่าทั้งหลายจึงเลยข้ามผ่านพวกเขาไป ข้ามแม้กระทั่ง ต้นสังกัด อย่าง...กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (สถ.) และกระทรวงการมหาดไทย
แต่หลังจากตั้งรับมานาน เกมรุกกลับ! ของกรมบัญชีกลาง และกระทรวงการคลัง จึงถูกส่งผ่านไปยัง...นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ก่อนจะส่งต่อถึง...นายสุพัฒนพงษ์ พันธุ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน
กระทั่ง ถูกนำไปพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อปลายสัปดาห์ก่อน
เป็นเหตุผลทำให้ “คนผิด-ตัวจริง” อย่าง...อบต.เจริญสุข และต้นสังกัดอย่าง สถ. จำเป็นแสดงความผิดชอบกันออกมา
ล่าสุด เป็น สถ.ที่ ออกหนังสือ ด่วนที่สุด! ที่ มท. ๐๘๑๐.๖/ว. ๑๙๗ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ทุกจังหวัด ในประเด็นดังกล่าว ลงนามโดย นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ความว่า...
“ตามที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ว่า มีผู้สูงอายุถูกเรียกเงินเบี้ยยังชีพคืน เนื่องจากเป็นผู้รับบำนาญหรือ บำนาญพิเศษ นั้น
กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นขอเรียนให้ทราบว่า ขณะนี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการหาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในเรื่องดังกล่าว ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนคลายความกังวลใจในเรื่องที่เกิดขึ้น จึงขอให้จังหวัดแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาดำเนินการ ดังนี้..
๑.ชี้แจงทำความเข้าใจประชาชนให้ทราบว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการหาแนวทางแก้ไขปัญหาความ เดือดร้อนในเรื่องดังกล่าว
๒.กรณียังมีระยะเวลาการดำเนินการที่ไม่ส่งผลกระทบทางกฎหมาย ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้วิธีการเจรจาสร้างความเข้าใจ โดยชะลอการดำเนินคดีไว้ก่อน”
ชัดเจน! ว่าเรื่องนี้...มีแรงกัดดันจากสังคม และคนในทำเนียบรัฐบาล
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะ “น้องเล็ก” ของกลุ่ม “3 ป.” จะต้องเคารพและให้เกียรติพี่! ตามทฤษฎี “เป็นพี่น้องกันจนวันตาย” กระนั้น จากสถานภาพในทางการเมืองที่เหนือกว่า “พี่รองฯ” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เรื่องนี้...จึงไม่อาจฝืนกระแสสังคมต่อไปได้...
นั่นจึงอาจเป็นอีกสาเหตุสำคัญทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ ออกมาพูดถึงเรื่องนี้...
โดยย้ำว่า...ขณะนี้ส่วนงานที่เกี่ยวข้องได้ประชุมพิจารณาหาแนวทางดำเนินการ ทั้งนี้ หากผลสรุปออกมาเป็นอย่างที่ทุกคนคาดและได้ข้อยุติแล้ว กระทรวงมหาดไทยจะไปแก้ไขระเบียบฯ เนื่องจากการออกระเบียบฯเป็นไปตามคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติที่กำหนดขึ้น
ส่วนกระทรวงมหาดไทยได้ให้นโยบายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้ง 7,850 แห่งทั่วประเทศ พิจารณาดำเนินการแก้ปัญหา เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชน จนกว่าเรื่องจะได้ข้อยุติ ซึ่งอาจเป็นการเจรจาหรือชะลอดำเนินการกับผู้สูงอายุทั้ง 11,111 ราย
สำหรับที่ดำเนินการไปแล้ว 4,052 ราย เรื่องยังอยู่ในระหว่างดำเนินการในเชิงกฎหมาย และกว่า 1,700 ราย ยังไม่ได้ดำเนินการ โดยให้ชะลอไปก่อน เพื่อบรรเทาปัญหา เนื่องจากบางคนเป็นผู้สูงอายุมากๆ ขณะที่บางคนเป็นผู้ป่วยติดเตียง
ทั้งนี้ เห็นว่ากรณีที่ “บุตรทำงานเพื่อชาติ” ก็น่าจะมีการพิจารณาออกระเบียบที่เหมาะสมแยกออกไป ส่วนบางคน...สมมุติว่า รับบำนาญของตัวเองจำนวนมากอยู่แล้ว และไปรับเบี้ยผู้สูงอายุซ้ำ ก็อาจจะมีระเบียบที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาหาข้อสรุป ถ้าจะให้แก้ไขระเบียบอย่างไร กระทรวงมหาดไทยพร้อมจะเร่งพิจารณาทันที
พล.อ.อนุพงษ์ ยืนยันว่า มหาดไทยไม่ได้สั่งการให้ อปท. ให้ชะลอเรื่องการเรียกคืนเบี้ยผู้สูงอายุ เพียงแต่ให้นโยบายในภาพกว้าง กล่าวคือ หากเรื่องยังอยู่ในระหว่างการเจรจา ขออย่าเพิ่งไปเรียกคืน ให้อยู่เฉยๆ อย่าเพิ่งดำเนินคดี ส่วนที่ดำเนินคดีไปแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะไปหยุดอย่างไรเพื่อลดผลกระทบทั้งหมด
ขณะที่ “มือกฎหมายรัฐบาล” อย่าง...นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตนได้สอบถามไปยัง นายประภาส คงเอียด (ว่าที่) อธิบดีกรมบัญชีกลาง แล้ว คำตอบคือ...กำลังคุยกันอยู่ว่าจะทำอย่างไร?
ส่วนที่มีนักกฎหมายให้ความเห็นว่า...คนชราไม่ต้องคืนเงินนั้น ก็เป็นหลักกฎหมายที่เข้าใจกันอยู่แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 412 ซึ่งเป็นการให้ความเห็นที่ถูก แต่ต้องสุจริต
ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่สามารถคืนเงินเบี้ยคนชราต้องติดคุกหรือไม่? นายวิษณุ ให้ความเห็นว่า “ไม่เกี่ยว” เพราะการเรียกคืนเงินเป็นคดีทางแพ่ง การจะคืนเงินหรือไม่คืนเงินก็เป็นเรื่องคดีแพ่ง...ไม่มีการติดคุก!
อีกด้านหนึ่ง นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ได้ออกมาแสดงความเห็นในเรื่องเดียวกัน ว่า การฟ้องคดีลักษณะตามที่เป็นข่าวนั้น เป็นการฟ้องคดีทางแพ่ง ซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิกันระหว่างคู่ความ 2 ฝ่าย โดยลักษณะของคดีแพ่งทั่วไป เมื่อคู่ความยื่นฟ้องเพราะถูกโต้แย้งสิทธิ หรือต้องการจะใช้สิทธิทางศาลตามที่กฎหมายกำหนด
เช่น การฟ้องขับไล่ การฟ้องเรียกเงินหรือทรัพย์สินคืน การฟ้องให้รับผิดตามสัญญา เป็นต้น เพื่อให้ศาลบังคับให้ โดยการฟ้องคดีแพ่งนี้การบังคับคดีจะเป็นเรื่องการบังคับเอาที่ตัวทรัพย์สิน หรือให้ฝ่ายจำเลยกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอะไรบางอย่าง โดยไม่มีโทษจำคุก
แตกต่างจากการฟ้องคดีอาญาที่จะเป็นการฟ้องเพื่อให้จำเลยที่กระทำผิดกฎหมายได้รับโทษทางอาญาเช่น จำคุก เป็นต้น
“กรณีที่เกิดขึ้นในการฟ้องคดีกับผู้สูงอายุเรื่องเบี้ยยังชีพนี้ ขอให้ทุกคนได้เข้าใจว่า เป็นการฟ้องคดีที่ไม่มีผลทางกฎหมายเป็นโทษจำคุกที่จะนำมาใช้กับลูกหนี้ได้ เพราะไม่ใช่การฟ้องคดีอาญา แต่เป็นการฟ้องคดีทางแพ่งที่มีวัตถุประสงค์ในการฟ้องเพื่อเรียกคืนเงินจากผู้สูงอายุที่เรียกว่าลูกหนี้ที่ถูกกล่าวหาว่าได้รับเงินไปโดยผิดหลักเกณฑ์” โฆษกศาลยุติธรรม ระบุ
ถึงบรรทัดนี้...สำนักข่าว “เนตรทิพย์” ขอฟันธง! “เงินรัฐต้องไม่สูญ” หลักปรัชญาของสำนักงานตรวจแผ่นดิน (สตง.) นั้น “เงินหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” และ “เงินหลวง...แค่สตางค์แดงเดียว ก็หายไม่ได้” ยังต้องคงมนต์ขลังกันต่อไป
นั่นหมายความว่า...แม้รัฐจะยกเว้น! การเรียกคืนเงินซ้ำซ้อนจากบรรดาคนชรานับหมื่นเคสท์ แต่กับหน่วยงาน อบต. ที่ออกลูก “สะเหร่อ” จ่ายเงินออกไปยาวนานต่อเนื่อง โดยไม่รู้เหนือรู้ใต้
ยังไง...ก็จะต้องรับผิดชอบกับเงินก้อนนี้ ด้วยเหตุผล...
เงินแผ่นดินสูญหายไม่ได้เป็นอันขาด!!!