ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม! แต่สิ่งที่ นางฟ้าคนนี้ “พิมรี่พาย” ทำให้กับสังคมไทย ได้กลายเป็นดัชนีชี้วัดความไม่โปร่งใสของหน่วยงานรัฐไปเสียแล้ว
จะบ้ากันใหญ่! เอาใจนาย...จนหน้ามืดตามัว “ไม่รู้สี...รู้แดด!” กันเลย? สมควรแล้วที่ “มาร์ค พิทบลู” ด่าเอาแบบเสียๆ หายๆ...
แทนที่จะทำให้ประชาชน “รักและชื่นชมนาย” กลายเป็นว่า...ไปสุมไฟ เพิ่มเติมความเกลียดชัง! ให้นาย...ด้วยการ “ไล่ฟ้องดะ” ดำเนินคดีกับประชาชนและคนเห็นต่าง...กับนโยบายและการดำเนินงานในด้านต่างๆ ของรัฐบาล
ทั้งนี้...เงินงบประมาณที่รัฐบาลนำไปใช้ แม้กระทั่งเงินเดือนของเจ้านาย-ลูกน้อง ต่างล้วนมาจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น!
แปลกและผิดด้วยหรือ? หากประชาชนผู้เป็น...เจ้าของเงินภาษี จะมีข้อสงสัย และตั้งคำถามถึงการนำเงินภาษีของพวกเขาไปใช้ในภารกิจต่างๆ ของภาครัฐ
แต่กลับจะถูก...ดีอีเอส หรือ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีรัฐมนตรีว่าการ ชื่อ...ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ จ้องฟ้องร้องดำเนินคดี ในข้อหาฉกรรจ์...
สร้างความแตกแยก! ในสังคมไทย
กี่ครั้งแล้ว?...จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อ “นางฟ้า...ปากตลาด!” อย่าง... “พิมรี่พาย” แม่ค้าออนไลน์ “ขายทุกอย่าง” ทั้งยังเป็น...“เน็ตไอดอล” ของคนไทยนับล้าน เปิดปฏิบัติการ “ช่วยเพื่อนมนุษย์” ด้วยกัน แล้วถูกนำไปเปรียบเทียบกับโครงการที่มีลักษณะคล้ายๆ ของภาครัฐ
สิ่งที่ “พิมรี่พาย” ทำไว้...ภายใต้มาตรฐานคุณภาพเท่ากันหรือดีกว่า แต่ราคากลับต่ำกว่าที่หน่วยงานภาครัฐทำ...หลายเท่าตัว
แล้วจะไม่ให้ประชาชนตั้งคำถามได้อย่างไร?
หากยังจำได้... 9 มกราคม พ.ศ. 2564 “พิมรี่พาย”...นำแผงโซลาร์เซลล์ไปติดตั้งเพื่อสร้างระบบไฟฟ้าและแสงสว่าง รวมถึงนำโทรทัศน์ไปมอบให้กับโรงเรียนและชาวบ้านในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
ราคาของชุดไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ ที่ “พิมรี่พาย” ใช้เงินส่วนตัวบริจาค เพื่อให้ชาวเขากลุ่มนี้ ได้มีแสงสว่างและไฟฟ้าใช้ เพียง 5 แสนบาท ขณะที่งบของกระทรวงพลังงาน ใช้ผ่าน กอ.รมน. สูงถึง 45 ล้านบาท แต่กลับไม่อาจสร้างไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ให้เกิดขึ้นได้
จน “สื่อกระแสหลัก” ค่ายยักษ์ อย่าง...มติชนทีวี ได้นำเสนอรายงานพิเศษ ที่ชื่อ...ผลสะเทือนกรณี #พิมรี่พาย ทะลวงลึกถึง 45 ล้าน "กอ.รมน." เมื่อ 13 มกราคม 2564 และผุด “วลีเด็ด!” ไว้ในตอนหนึ่งว่า..
ได้เกิดปรากฏการณ์ “สว่างวาบ” ให้กับสังคมไทย!
สิ่งนี้...ยังคงเป็นคำถามที่ยังค้างคาใจของไทยนับล้านคน
ความวัวไม่ทันจางหาย ก็เป็น “พิมรี่พาย” อีกนั่นแหล่ะ ที่แม้ไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่ “นางฟ้า” คนนี้ทำ...ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่ภาครัฐทำ อีกครั้ง!
นั่นคือ การบริจาคเงินเพื่อจัดหาวัสดุและอุปกรณ์ที่สำคัญและจำเป็น! สำหรับจัดสร้างโรงพยาบาลสนามจำนวน 50 เตียง ให้กับโรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี เอาไว้รองรับผู้ติดไวรัสโควิด-19 ที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดทั่วอำเภอกาญจนดิษฐ์และพื้นที่ใกล้เคียง เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
เงินของ “พิมรี่พาย” จำนวน 170,000 บาท สามารถสร้างโรงพยาบาลสนาม แบบครบเครื่อง! ขนาด 50 เตียง ได้ ขณะที่ โรงพยาบาลษราคัม หรือโรงพยาบาลเฉพาะโรคโควิด-19 ที่ภาครัฐสร้างไว้จำนวน 1,092 เตียง แต่กลับใช้เงินงบประมาณที่สูงถึง 239 ล้านบาทเศษ
ผิดด้วยหรือ? หากประชาชนจะมีข้อสงสัยและตั้งคำถามกับงบประมาณที่ใช้ เมื่อเทียบกับสิ่งที่ “พิมรี่พาย” ทำ..
ถ้าใช้...เกณฑ์ราคาต้นทุนการจัดทำ “เตียงสนาม” ที่ “พิมรี่พาย” ทำไว้ นั่นคือ 3,400 บาทต่อเตียง แล้ว จำนวนเตียงสนามขนาด 1,092 เตียงของ โรงพยาบาลษราคัม ควรจะใช้เงินภาษีของประชาชนเพียง 3.71 ล้านบาทเศษหรือเปล่า?
แต่เมื่อใช้งบประมาณสูงถึง 239 ล้านบาทเศษ ก็สมควรแล้ว...หากจะมีคำถามตามมามิใช่หรือ?
หน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น...ศบค. ฝ่ายการเมือง ข้าราชการประจำ คณะแพทย์ผู้รับผิดชอบโครงการนี้ ฯลฯ ควรจะชี้แจงถึง...หลักเกณฑ์และเหตุผล รวมถึงข้อเท็จจริง! ที่สร้างความแตกต่าง ระหว่าง...โรงพยาบาลษราคัม กับโรงพยาบาลสนามที่ “พิมรี่พาย” ทำ
ไม่ใช่...ไม่ตอบ! แล้วยังควานหาเพื่อ “ไล่ล่า” คนที่ออกมาชี้ประเด็นหรือเห็นต่างไปกับสิ่งที่รัฐบาลทำ...
ถึงนาทีนี้...ยังไม่สาย! หากผู้ใหญ่ในรัฐบาล จะสั่งหยุด! พฤติกรรมของใครบางคน? โดยเฉพาะ พวก “เห็บไร” ที่เกาะและกัดกิน “ภาพลักษณ์รัฐบาล” และ กำลังเปิดปฏิบัติการ...ตอบโต้ ด่ากลับ ไล่ล่า ไล่ฟ้องร้องดำเนินคดี เอากับประชาชนผู้เห็นต่าง
เพื่อให้หยุดการกระทำในลักษณะนี้ โดยเร็ว!
ส่วนเรื่อง “พิมรี่พาย” นั้น วันนี้...เธอกลายเป็น “ดัชนี” เปรียบเทียบและชี้วัดการกระทำของหน่วยงานรัฐไปแล้ว ไม่ว่าเธอ...จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ดีเสียอีก! เพราะสิ่งที่ “พิมรี่พาย” ได้คืนให้กับสังคมไทยนั้น ยังมีส่วนช่วยรัฐบาล...รักษาทั้งภาพลักษณ์และงบประมาณแผ่นดิน เอาไว้
ไม่เพียง...เลิกค่อนขอด แต่รัฐบาลควร “ยกย่อง” และให้ “เครดิต” กับ...แม่ค้าออนไลน์ “พิมรี่พายขายทุกอย่าง” คนนี้...เป็นบุคคลตัวอย่างที่น่าสรรเสริญ
ถึงเวลาที่รัฐบาล...จะพลิกวิกฤตเป็นโอกาส! ก็ในสถานการณ์นี้ นี่เอง!