“พี่ใหญ่” จัดให้จ่อแก้ไขสัญญาไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน ปรับร่นเวลาจ่ายเงินชดเชยก่อสร้างโครงการ เปิดทางเอกชนจับเสือมือเปล่าหรือไม่? หลัง “บิ๊กตู่” ยังกล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าเคาะโต๊ะมาร่วมปี แถมพ่วงเร่ง กสทช. ปิดดีลควบรวมกิจการทรู-ดีแทคแลกท่อน้ำเลี้ยงพรรคการเมืองใหญ่ !
แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงความคืบหน้า โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง -สุวรรณภูมิ -อู่ตะเภา) ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ลงนามกับบริษัท เอเชียเอราวัน จำกัด ในเครือซีพี. ไปตั้งแต่ 24 ต.ค.62 หรือเกือบ 3 ปีมาแล้ว แต่จนถึงเวลานี้โครงการยังไม่มีความคืบหน้า การรถไฟฯ ยังไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้บริษัทเอกชน และออกหนังสือ NTP ให้เอกชนเริ่มดำเนินโครงการได้ โดยคาดว่า จะต้องเลื่อนการก่อสร้างออกไปเป็นต้นปีหน้า
ขณะที่ความชัดเจนที่เห็น กลับเป็นเรื่องที่การรถไฟฯ และ สกพอ. ได้ออกมาขานรับการแก้ไขสัญญาสัมปทานกับบริษัทเอกชน หลังจากก่อนหน้านี้มีความพยายามแก้ไขสัญญามานับปียังไม่มีข้อยุติ โดยล่าสุดเลขาธิการ สกพอ. เปิดเผยว่า ได้รายงานการจัดทำร่างแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ไปยังคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ที่มี นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมต.พลังงาน เป็นประธานแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียด คาดว่าจะได้ข้อสรุปไม่เกิน 1 เดือนจากนี้
เปิด 2 เงื่อนไขแก้สัญญาร่วมลงทุน!
ทั้งนี้ การแก้ไขสัญญาสัมปทานร่วมลงทุนเกิดขึ้น เพื่อแก้ปัญหาทับซ้อนงานโยธาระหว่างโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน กับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง โดยเอกชนจะแบกรับก่อสร้างงานโยธา “Super structure” ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ซึ่งมีค่าก่อสร้างเพิ่มขึ้น 9,207 ล้านบาท แลกกับการร่นเวลาจ่ายเงินชดเชยการก่อสร้าง หรือเงินร่วมลงทุนโครงการตามมติคณะรัฐมนตรี จากเดิมที่รัฐจะทยอยจ่ายเงินร่วมลงทุน เมื่อโครงการแล้วเสร็จ และเปิดให้บริการในปีที่ 6-15 ระยะเวลา 10 ปี รวม 149,650 ล้านบาท โดยระบุว่า แนวทางดังกล่าวจะทำให้รัฐประหยัดเงินลงทุน และดอกเบี้ยไปราว 27,000 ล้านบาท และสามารถแก้ปัญหาโครงสร้างทับซ้อนได้
รวมไปถึงกรณีการชำระเงินค่าสิทธิ์รับโอนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยมีการแก้ไขการชำระเงินค่าสิทธิเอกชนร่วมลงทุน จำนวน 10,671.09 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องชำระภายใน 2ปีคือ 24 ต.ค.2564 เป็นการแบ่งชำระงวดละ 1,067.11 ล้านบาทต่อปีไม่เกิน 7 งวด
“ที่ผ่านมา การรถไฟฯ และ สกพอ. ได้เจรจาแนวทางดังกล่าวเสร็จสิ้นไปตั้งแต่กลางปีก่อน แต่กลับยังไม่มีการนำเสนอขอความเห็นชอบในระดับนโยบาย จนกระทั่ง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรี ทำให้มีการปัดฝุ่นเรื่องดังกล่าวออกมาเร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว และมีกำหนดให้ได้ข้อยุติภายใน 1 เดือนนี้”
วงการรับเหมาเตือนรัฐ หวั่นเปิดทางเอกชนจับเสือมือเปล่า!
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในวงการก่อสร้าง เปิดเผยว่า ความพยายามในการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนในโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน ระหว่างการรถไฟฯ , สกพอ. กับบริษัทเอเชียเอราวัน จำกัด ผู้รับสัมปทานโครงการนี้ เป็นสิ่งที่วงการรับเหมาและกระแสโซเชียลคาดการณ์กันมาแต่แรกแล้ว
เพราะหลังกลุ่มทุนรายดังกล่าว ประสบผลสำเร็จในการขอยืดเวลาจ่ายค่าสิทธิ์รับโอนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ จำนวน 10,671 ล้านบาท โดยอ้างผลกระทบจากวิกฤตไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ทำให้ปริมาณผู้โดยสารไม่เป็นไปตามคาดการณ์ จนส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและแหล่งเงินกู้ในโครงการก่อนจะขอขยายเวลาจ่ายค่าสิทธิ์ออกไปนั้น ได้ก่อให้เกิดข้อวิพากษ์อย่างกว้างขวาง “ขนาดค่าสิทธิ์รับโอนรถไฟฟ้าแค่หมื่นล้าน บริษัทยังไม่มีศักยภาพที่จะจ่ายให้แก่รัฐได้ แล้วโครงการหลักที่ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 2.24 แสนล้านบาท และต้องกู้เงินไม่น้อยกว่า 180,000-200,000 ล้านบาท เพื่อมาดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จจะไม่ยิ่งกว่าหรือ”
อย่างไรก็ตาม หนทางที่จะดึงเม็ดเงินสนับสนุนการก่อสร้างโครงการจากภาครัฐออกมาใช้ก่อน ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตามเงื่อนไขประกวดราคา (TOR) และสัญญาร่วมลงทุนฯกำหนดไว้ชัดเจน รัฐบาลจะจ่ายเงินสนับสนุนการลงทุนตามมติ ครม. ในโครงการเมื่อผู้รับสัมปทานก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว (ปีที่ 6 ของสัญญา) โดยจะชำระคืนในระยะเวลา 10 ปีพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 2.35% หรือตกปีละราว 13,900 ล้านบาท
ดังนั้น หนทางที่จะล้วงลูกดึงเงินสนับสนุนการลงทุนจากรัฐมาใช้ก่อสร้างก่อน จึงขัดแย้งกับเงื่อนไขการประมูล และสัญญาร่วมลงทุนอย่างเห็นได้ชัด เป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนคู่สัญญา เพราะการที่รัฐบาลตัดสินใจคัดเลือกกลุ่มทุน ซีพี. เป็นผู้ชนะประมูลโครงการนี้ เพราะเชื่อในศักยภาพและสถานะด้านการเงินของบริษัท จึงกำหนดเงื่อนไขให้เอกชนต้องจัดหา Supplier Credit มาดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ รัฐจึงจะจ่ายเงินสนับสนุนการก่อสร้างให้ จึงทำให้เส้นทางการเจรจาแก้ไขสัญญาชะงักงันมาร่วมปี
“แม้จะอ้างว่า การแก้ไขสัญญาปรับร่นเวลาจ่ายเงินอุดหนุนของภาครัฐในลักษณะสร้างไป-จ่ายไปที่อ้างว่า ทำให้รัฐประหยัดงบประมาณ และดอกเบี้ยลงไปกว่า 27,000 ล้านบาท ยังไม่รวมเงินลงทุนในส่วนงานที่เพิ่มขึ้นอีกกว่า 9,200 ล้าน ที่การรถไฟฯ ไม่ต้องแบกรับภาระเอง แต่ในส่วนของคู่สัญญาเอกชนที่ได้ไปจากการแก้ไขสัญญานั้น ไม่เพียงจะลดภาระการระดมทุนร่วม 200,000 ล้านบาท ลงไปเหลืออยู่เพียง 79,000 ล้านบาท เพราะหันมาใช้เม็ดเงินลงทุนจากภาครัฐแทน ผลประโยชน์จากการลดต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้ ต้นทุนการระดมทุนของเอกชนที่ได้ไปแทบจะทำให้เอกชนจับเสือมือเปล่าหรือไม่"
และทำให้เกิดคำถามว่า เป็นธรรมกับผู้เข้าประมูลแข่งขันที่ไม่ถูกคัดเลือกหรือไม่ เพราะการที่รัฐชี้ขาดให้กลุ่มทุน ซีพี. ชนะประมูลโครงการนี้ก็ด้วยข้ออ้างเอกชนเสนอเงื่อนไขขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐต่ำกว่าอีกกลุ่ม แต่การแก้ไขสัญญาครั้งนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าการพิจารณาคัดเลือกเอกชนเข้าร่วมลงทุนโครงการนี้ผิดพลาดอย่างชัดเจน
จับตาพ่วงบี้ กสทช. ปิดดีลควบรวม “ทรู-ดีแทค”
นอกจากการผลักดันแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินแล้ว แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ยังมีกรณีของการพิจารณาดีลควบรวมธุรกิจระหว่าง บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัดหรือ “ทรู” และ บมจ. โทเทิ่ลแอ็คเซ็สคอมมูนิเคชั่น จำกัด หรือ”ดีแทค” ที่คาราคาซังมาร่วม 9 เดือน นับจากสองบริษัทสื่อสารได้ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) รับทราบเมื่อเดือน ม.ค.65 แต่ กสทช. ใช้เวลาพิจารณามากว่า 9 เดือน ยังไม่มีข้อยุติ
ล่าสุด มีกระแสข่าวว่า กรณีดังกล่าวจะถูกหยิบยกขึ้นมาดำเนินการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรมให้เสร็จสิ้นภายใน 1 เดือนนี้ โดยได้ทำหนังสือขอให้นายกฯรักษาการประสานสั่งการไปยัง คณะกรรมการกฤษฎีกาให้ตอบข้อหารือของสำนักงาน กสทช.เกี่ยวกับอำนาจของ กสทช.ว่า ไม่มีอำนาจพิจารณาอนุมัติหรือไม่อนุมัติดีลควบรวมกิจการได้ตามประกาศ กสทช.ว่าด้วยมาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคมปี 2561 ทำได้เพียงการกำหนดมาตรการเฉพาะเพื่อบรรเทาความเสียหายจากประโยชน์สาธารณะเท่านั้น
“ให้จับตาความเปลี่ยนแปลง ทั้งกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบิน และดีลควบรวมกิจการทรู-ดีแทค ที่กลุ่มทุนการเมืองได้มีการพิจารณากับระดับหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ ที่จะให้มีข้อยุติภายใน 1-2 เดือนนี้ แลกกับการเป็นท่อน้ำเลี้ยงพรรคการเมืองใหญ่ ที่หมายมั่นปั้นมือจะผงาดบิ๊กบึ้มภายใต้หัวหน้าพรรคการเมือง โดยไม่ตองอาศัยยืมจมูกใครอื่นหายใจ”