หากไม่หลอกตัวเองจนหลอน ก็ต้องยอมรับได้ว่า...คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดในโลก หลายธุรกิจของคนไทย หรือมีสัญชาติไทย สยายปีกไปได้ไกลทั่วโลก ถึงเวลาแล้วที่เราคนไทย...จำต้องร่วมกันทำให้โลกได้รับรู้เสียทีว่า...ไม่มีอะไรที่เราคนไทย...ทำไม่ได้!
เอากันตามจริง! กลุ่มทุนไทยที่มีศักยภาพในการจะสยายปีกให้ไปได้ไกล กินรวบในหลายทวีปและหลายประเทศทั่วโลก ก็คงมีเพียงไม่กี่แห่ง...
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มพลังงาน กลุ่มสื่อสาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มธนาคาร ฯลฯ แม้จะเข้มแข็งอยู่ในประเทศไทย แต่กับในต่างประเทศแล้ว ทั้งหมดล้วนต่างก็มีข้อจำกัดและปัญหาอุปสรรคกันขวาง! จาก...เจ้าของพื้นที่ที่มี “แต้มต่อ” ไม่ต่างกัน
แทบจะทั้งร้อย...ไปต่อไม่ได้ แต่ถึงจะไปได้ ก็ไปได้ไม่ดีนัก!
หลายธุรกิจในกลุ่มสำคัญๆ ข้างต้น จึงพากันแตกไลน์ธุรกิจ...ข้ามสายพันธุ์กันจนมั่วไปหมด
กลุ่มธุรกิจพลังงาน ขยายฐานธุรกิจไปยังธุรกิจค้าปลีกและอสังหาริมทรัพย์ เช่น บมจ. ปตท. ที่มี โออาร์ ทำธุรกิจค้าปลีกไม่พอ ยังบริหารจัดการพื้นที่ภายในปั้มน้ำมัน ปตท. ซึ่งก็เป็นหนึ่งในสายงานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ไม่เพียงแค่นั้น...ปตท. ยังแตกลูกสร้างธุรกิจใหม่ๆ เกี่ยวกับธุรกิจยานยนต์พลังงานไฟฟ้า และธุรกิจแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์พลังงานไฟฟ้า
หรือแม้กระทั่ง ธุรกิจน้ำเมา อย่าง...เบียร์ช้าง ที่วันนี้...แตกสาขาไปยังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจค้าปลีก ฯลฯ
ธุรกิจค้าปลีกอย่างเครือเซ็นทรัล เอง ก็แตกไลน์ธุรกิจไปยังธุรกิจใหม่ๆ อีกมากมาย และไม่ได้จำเป็นพื้นที่ธุรกิจอยู่แต่เฉพาะในประเทศต้นทางของตัวเอง หากยังหวังจะเติบโตในพื้นที่นอกประเทศ และนอกทวีป...หากทำได้
นั่น...เป็นวิถีของธุรกิจการค้า ที่ไม่เฉพาะคนไทย...หากแต่นักธุรกิจข้ามชาติในทุกๆ ชาติพันธุ์ ต่างก็พยายามจะก้าวไปสู่จุดแห่งความทะเยอทะยาน ที่ไม่เพียงจะทำให้ธุรกิจตัวเองอยู่รอด ปลอดภัย และเติบใหญ่
พวกเขายังต้องการจะสร้างฐานรากแห่งอนาคตเพื่อเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าของและ/หรือผู้บริหารระดับสูง รวมถึงครอบครัวของพวกเขาเอง
เกริ่นเสียเยิ่นเย้อ...ก็เพียงแค่จะบอกว่า สิ่งนี้...ไม่ใช่ใคร? หรือธุรกิจใด? ทำกันได้ง่ายๆ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า...ธุรกิจนั้นๆ คืออะไร? มีความสำคัญต่อมวลมนุษยชาติมากน้อยแค่ไหน? ที่สำคัญ...พื้นที่ธุรกิจในต่างแดน มันเปิดกว้างให้แค่ไหน? อย่างไร?
ธุรกิจที่มีพื้นฐานเป็น...กลุ่มอาหาร ของกินและของใช้ เช่นที่ บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ อย่าง...บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น เซเว่น เดลิเวอรี่ และ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) โดยเฉพาะ ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ที่มีลูกค้าสมาชิก “All Member” อยู่ทั่วประเทศมากกว่า 14 ล้านคน และมีสาขามากถึงกว่า 13,000 สาขา นั้น
ต้องบอกว่า...มันไม่ธรรมดาจริงๆ แม้จะมีข้อจำกัดจาก “ต้นทาง - เจ้าของลิขสิทธิ์” ในประเทศญี่ปุ่นให้ บมจ.ซีพี ออลล์ ทำกิจการร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ได้เฉพาะในประเทศไทย รวมถึงกัมพูชา และ สปป.ลาว นั้น
แค่นี้...ก็สร้างความได้เปรียบในเชิงธุรกิจในระดับหนึ่งแล้ว
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ Chief Financial Officer บมจ.ซีพี ออลล์ ระบุว่า ภายในปี 2566 นี้ บริษัทฯ มีแผนจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 700 สาขา ในรูปแบบ Standalone โดยเน้นร้านขนาดใหญ่ใน รูปแบบร้านเดี่ยว (Standalone) ที่มีพื้นที่จอดรถหน้าร้าน
ไม่เพียงแค่นั้น...ยังมีแผนการ ขยายสาขาในต่างประเทศ โดยคาดว่า...ในปี 2566 จะเริ่มเห็นสาขาของ “เซเว่น อีเลฟเว่น” ใน สปป.ลาว ขณะที่ในประเทศกัมพูชามีการเปิดสาขาไปแล้วกว่า 40 สาขา และยังจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจแบบ O2O ที่ผสมผสานช่องทาง Omni-Channel ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงบริการเดลิเวอรี่ของ เซเว่น อีเลฟเว่น (7Delivery) ที่จัดส่งสินค้าถึงบ้าน ผ่านทางแอปพลิเคชั่น เพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคอีกด้วย
พูดถึง บมจ.ซีพี ออลล์ แล้ว พวกเขา..นับเป็นบริษัทเอกชนไทยแค่ไม่กี่รายที่ได้รับการจัดชั้น “เครดิตองค์กร” จากหน่วยงานจัดอันดับเครดิตชั้นนำทั้งในประเทศไทยและในโลกอย่างต่อเนื่อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ส่วนสำคัญ นั่นเพราะผู้บริหารระดับสูงของพวกเขาได้วางวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืน ที่จะ “เป็นองค์กรที่อำนวยความสะดวกให้ชุมชน สังคม มีความกินดี อยู่ดี มีความสุข” จึงดำเนินธุรกิจบนพันธกิจเพื่อให้วิสัยทัศน์ข้างต้นประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารองค์กรสู่ความเป็นเลิศให้ได้รับการยอมรับทั้งในระดับประเทศ และระดับสากล การพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และห่วงโซ่แห่งคุณค่าที่ทันต่อถานการณ์ที่ปรับเปลี่ยนของโลก และสร้างจิตสำนึกการมีจิตสาธารณะให้อยู่ในดีเอ็นเอของบุคลากร
โดยในปี 2022 (2565) ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ผลของความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง ทำให้ซีพี ออลล์ ได้รับการยอมรับจากหลายองค์กร เป็นเครื่องการันตีการเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน เริ่มจาก FTSE Russell (Financial Times Stock Exchange Russell) ผู้จัดทำ “FTSE4Good Index” จากการประเมินศักยภาพการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
ซึ่ง ซีพี ออลล์ ได้รับคัดเลือกติดต่อกันเป็นปีที่ 5 (2018-2022) ในกลุ่ม Food Retailers & Wholesalers โดยมีคะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมในทุกมิติทั้ง ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
ถัดมา คือ “Dow Jones Sustainability Indices: DJSI” หรือ ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ของ S&P Global ที่ใช้ S&P Corporate Sustainability Assessment แบบประเมินความยั่งยืนทางธุรกิจที่ประกอบด้วยมิติธรรมาภิบาลและเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมมาประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
โดยในปีเดียวกันนี้ ซีพี ออลล์ ยังคงได้รับเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI ในกลุ่มอุตสาหกรรม Food & Staples Retailing กลุ่มดัชนี DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 (2017-2022) และ กลุ่มดัชนี DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (2018-2022) และ ทุกๆ ปี S&P Global ยังมีการสรุปภาพรวมเผยแพร่ใน The Sustainability Yearbook ซึ่งในปี 2022 ซีพี ออลล์ เป็นองค์กรเดียวของโลกที่ได้รับการประเมินในระดับเหรียญทอง (Gold Class) ในกลุ่ม Food & Staples Retailing โดย คะแนน S&P Global ESG Score สูงสุด 86 คะแนน
อีกหนึ่ง ดัชนีที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ก็คือ MSCI Index โดย บริษัท Morgan Stanley Capital International ซึ่งมี การจัดระดับ MSCI ESG Ratings เป็นการประเมินความสามารถในการบริหารความเสี่ยงด้าน สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG Risks) ของบริษัทจดทะเบียน โดยใช้ข้อมูลที่เปิดเผยจากบริษัทจดทะเบียนทั้งที่เปิดเผยตามกำหนด และเปิดเผยด้วยความสมัครใจ รวมทั้งข้อมูลจากแหล่งอื่นๆ
ซึ่ง ในปี 2022 ซีพี ออลล์ มีผลประเมินปรับขึ้นมาอยู่ในระดับ A เช่นเดียวกับในระดับประเทศ SET Awards 2022 โดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ วารสารการเงินธนาคาร ซึ่ง ซีพี ออลล์ ได้รับรางวัลในกลุ่ม Sustainability Excellence ประเภท Highly Commended in Sustainability Awards ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ตอกย้ำด้วยการมีชื่อใน รายชื่อหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2565 หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) 2022 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรายชื่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีการบริหารงานตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) โดย ซีพี ออลล์ อยู่ในกลุ่มบริการ (Services) เป็นปีที่ 5 ต่อเนื่องกันแล้วนับตั้งแต่ปี 2561
ขณะเดียวกัน สถาบันไทยพัฒน์ ผู้ริเริ่มพัฒนาข้อมูลด้านความยั่งยืนของธุรกิจได้เปิดเผยรายชื่อหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้าน ESG จำนวน 100 บริษัท หรือที่เรียกว่า กลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ซึ่งในปี 2022 ที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ ยังคงอยู่ในทำเนียบ ESG100 ในกลุ่มบริการ (Services) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 (2018-2022) แล้ว
นายยุทธศักดิ์ ภูมิสุรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา ซีพี ออลล์ มุ่งเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติด้วยการกำกับดูแลที่ดีเป็นธรรมและโปร่งใส พร้อมทั้งสนับสนุนการมีคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคม ตลอดจนร่วมรักษาสิ่งแวดล้อม ภายใต้นโยบายและกรอบการดำเนินงาน 3 เสาหลัก ประกอบด้วย Heart (Governance and Economic) Health (Social) และ Home (Environmental) การได้รับการยอมรับในผลดำเนินงานด้านความยั่งยืนโดยมีดัชนีระดับโลกและรางวัลจากสถาบันต่างๆเป็นเครื่องการันตี ไม่เพียงเป็นความภาคภูมิใจขององค์กร แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนให้ซีพี ออลล์มุ่งมั่นดินหน้าเพื่อธุรกิจที่เติบโตคู่ไปกับการสร้างคุณค่าให้กับชุมชนและสังคมตามปณิธานองค์กร “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสต่อกัน” ด้วย
ถึงนาทีนี้...ก็อดรู้สึกภาคภูมิใจกัไปบบริษัทสัญชาติไทย ที่ได้รับการยอมรับจากองค์กรระดับประเทศและระหว่างประเทศไม่ได้ พวกเขามีส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจไทย สินค้าและบริการจากประเทศไทย ได้รับการยอมรับในเวทีนานาชาติ
Made in Thailand, Product of Thailand และวลีในประโยคที่สะท้อนว่า...มาจากประเทศไทย ต่างก็ได้รับความนิยมชมชอบ...ถึงความมีมาตรฐานคุณภาพ ในสายตาและความรู้ของประเทศเพื่อนบ้าน ที่ไม่เฉพาะแต่ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เท่านั้น
แต่เป็นอย่างนี้ไปทั่วโลก!!!
ถึงเวลาที่เราคนไทย...จำต้องส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจ สินค้าและบริการของคนไทย และ/หรือ สัญชาติไทย เพื่อตอกย้ำถึงความมีมาตรฐานคุณภาพในระดับสากล
ไม่เฉพาะ เครือซีพี หรือแค่ บมจ.ซีพี ออลล์ หากแต่อีกหลายๆ ธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น เครือซีเมนต์ไทย กลุ่ม ปตท. เครือเซ็นทรัล กลุ่มเบียร์สิงห์และช้าง ฯลฯ ต่างก็อยู่ในข่ายที่คนไทย...จะต้องร่วมกันทำให้โลกได้เห็นถึงศักยภาพของธุรกิจไทย และคนไทยว่า...
พวกเรา...ไม่แพ้ชาติใดในโลก ไม่มีอะไรที่เราคนไทย...ทำไม่ได้!!!