ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษายกฟ้องบอร์ด กสทช. หลังเครือข่ายผู้บริโภคฟ้องบอร์ด กสทช. สุมหัวลงมติอนุมัติควบรวมธุรกิจให้ทรู-ดีแทค โดยมิชอบ ศาลชี้มีกฎหมายโดยเฉพาะ ให้อำนาจ กสทช. พิจารณาอย่างกว้าง แถมการควบรวมไม่ใช่เข้าซื้อกิจการ หรือถือหุ้นบางส่วน จึงไม่ต้องด้วยข้อกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (1 มีนาคม 66) ว่า เมื่อเวลาเวลา 09.30 น. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้นัดฟังคําสั่ง หรือคําพิพากษา คดีหมายเลขดํา ที่ อท 199/2565 ระหว่าง นางสาวธนิกานต์ บํารุงศรี โจทก์ ศาสตราจารย์คลินิกสรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ที่ 1 นายต่อพงศ์ เสลานนท์ ที่ 2 พลอากาศโทธนพันธุ์ หร่ายเจริญ ที่ 3 ศาสตราจารย์พิรงรอง รามสูต ที่ 4 รองศาสตราจารย์ศุภัช ศุภชลาศัย ที่ 5 จําเลย เรื่อง ความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ
โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 65 จําเลยทั้ง 5 ได้ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในคราวประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 การพิจารณารายงานการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทค ผลการประชุมปรากฏว่าจําเลยทั้ง 5 มีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เสียง ลงมติรับทราบการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค โดยจําเลยทั้ง 5 จัดให้มีการประชุมและลงมติ โดยไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไป ไม่นํารายงานฉบับสมบูรณ์ของที่ปรึกษาต่างประเทศมาพิจารณาประกอบ และรับฟังความคิดเห็นของบริษัทที่ปรึกษาอิสระ (บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จํากัด) เป็นการกระทําที่ฝ่าฝืน ต่อกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
จําเลยที่ 2 ไม่มีความเป็นกลางและมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับบริษัททรู จําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 ลงมติรับทราบเรื่องการรวมธุรกิจ ระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทคเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นการมิชอบ โดยจําเลยที่ 1 ในฐานะประธาน กสทช. ใช้สิทธิลงมติ 2 คร้ังในการประชุมวาระการพิจารณาเรื่องการรวมธุรกิจ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้อง ขอให้ลงโทษจําเลยทั้ง 5 ตามประมวลอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิจารณาแล้วมีคําวินิจฉัย ดังนี้
1) พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 28 บัญญัติให้ กสทช. จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไปก่อนออกระเบียบ ประกาศ หรือ คําสั่งเกี่ยวกับการกํากับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่มีผลเป็นการใช้บังคับทั่วไป แต่สําหรับกรณีการพิจารณารายงานการรวมธุรกิจของบริษัททรู และบริษัทดีแทคเป็นการพิจารณาเพื่อมีมติหรือมีคําสั่งเกี่ยวข้อง หรือผูกพันเกี่ยวกับผู้รับใบอนุญาตเฉพาะรายไม่ได้มีผลบังคับเป็นการทั่วไป จําเลยทั้งห้าจึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปและผู้มีส่วนได้เสียหลักก่อน
ส่วนกรณีไม่นํารายงาน ฉบับสมบูรณ์ของที่ปรึกษาต่างประเทศมาพิจารณาประกอบ และการรับฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาอิสระนั้น จําเลยทั้งห้าปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการแล้ว
2) จําเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับเรื่องที่พิจารณา จึงไม่มีเหตุต้องห้ามมิให้พิจารณา เรื่องทางปกครองไม่ปรากฏว่ากลุ่มบริษัททรู มีพฤติการณ์แทรกแซงการทํางานของจําเลยที่ 2 จนขาดอิสระในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช.
3) การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค ไม่ใช่เป็นการเข้าซื้อหุ้น หรือถือหุ้น เกินกว่าร้อยละ 50 ของจํานวนหุ้นทั้งหมดของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อควบคุมนโยบาย หรือการบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น แต่เป็นการรวมธุรกิจ ที่บริษัทจํากัด(มหาชน) 2 บริษัทขึ้นไปควบรวมกัน แล้วนําไปจดทะเบียนเป็นบริษัทจํากัด (มหาชน)ขึ้นใหม่ โดยบริษัททรูและบริษัทดีแทคสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคลเดิม
พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 27 (11) และพระราชบัญญัติประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 21 และมาตรา 22 ไม่ได้บัญญัติให้อํานาจกสทช. ในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาต รวมธุรกิจของผู้รับอนุญาตแต่อย่างใด เพียงแต่ให้อํานาจกสทช. เฉพาะในเรื่องการกําหนดมาตรการ การป้องกันการกระทําอันเป็นการผูกขาดเท่านั้น และที่ผ่านมา กสทช. เคยพิจารณารายงานการรวมธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งหมด 9 กรณี และ 9กรณีดังกล่าว ได้มีการลงมติ เพียงรับทราบรายงานการรวมธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตท้ังสิ้น ไม่มีกรณีใดที่ กสทช. มีมติอนุญาตหรือ ไม่อนุญาตการรวมธุรกิจแต่อย่างใด จําเลยที่ 1 และที่ 2 ลงมติรับทราบรายงานการรวมธุรกิจ ระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทคจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายทุกประการ
4) การประชุม กสทช. นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 วาระการพิจารณารายงานการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค กรณีจึงต้องบังคับตามข้อ 41 วรรคสามของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ พ.ศ. 2555 โดยจําเลยที่ 1 ซึ่งเป็นประธานของคณะกรรมการ กสทช. ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ทําให้การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ กสทช.มีเสียงของผู้เห็นด้วยว่า การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการ ประเภทเดียวกัน การลงมติของจําเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทําที่ถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
5) พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง กําหนดให้การประชุม การลงมติและการปฏิบัติงานของ กสทช. ให้เป็นไปตามระเบียบที่ กสทช. กําหนด ระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ มิได้มีข้อกําหนดให้กรรมการ กสทช. ต้องออกเสียง ทุกครั้งทุกคราวที่มีการประชุม และมิได้มีข้อกําหนดเกี่ยวกับการงดออกเสียงไว้ การที่จําเลยที่ 3 งดออกเสียงในการประชุมพิจารณาการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่น จึงไม่มีเหตุแห่งการที่จะพิจารณาว่าจําเลยที่ 3 กระทําการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
6) มาตรการเฉพาะที่จําเลยทั้งห้ากําหนดเกี่ยวกับเรื่องการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู กับบริษัทดีแทค ได้พิจารณาข้อกังวลในหลายประเด็น ได้แก่ อัตราค่าบริการและสัญญาการให้บริการ การเข้าสู่ตลาดและประสิทธิภาพการแข่งขัน และการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย คุณภาพ การให้บริการ การถือครองคลื่นความถี่ การใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน และเศรษฐกิจของประเทศ นวัตกรรมและความเหลื่อมล้ําทางดิจิตอลเป็นการกระทําที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 (มาตรา 77) วรรคสาม ทั้งยังเป็นการปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรขึ้นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 27 (11) และพระราชบัญญัติ ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 21 และมาตรา 22
ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏในสํานวน ฟังไม่ได้ว่า จําเลยทั้งห้ากระทําผิดตามฟ้อง ศาลย่อมมีอํานาจพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องดําเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องต่อไปพิพากษายกฟ้อง
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทรูและดีแทค ได้ดำเนินการควบรวมเป็นบริษัทใหม่ร่วมกันเสร็จสมบูรณ์ โดยได้รับหนังสือรับรองบริษัทใหม่ตามที่ยื่นจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ อย่างเป็นทางการแล้ว ในชื่อ “บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)” และบริษัทใหม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนบริษัทจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทใหม่ได้มีมติแต่งตั้ง นายมนัสส์ มานะวุฒิเวช เป็นประธานคณะผู้บริหาร และ นายชารัด เมห์โรทรา เป็นรองประธานคณะผู้บริหาร อย่างเป็นทางการเรียบร้อยในวันที่ 1 มีนาคม 2566