ปรากฏการณ์ “เคลม” ... ใช่ว่า “คนเคลม” จะได้ประโยชน์หรือได้เปรียบ “คนถูกเคลม” เสมอไป หากต้นทางของการ “เคลม” มาด้วยวิธีการ และ/หรือ ข้อมูลข้อเท็จจริวที่ไม่ถูกต้อง! ผลของการ “เคลม” หรือ “เคลม เอฟเฟกต์” อาจย้อนกลับมาทำร้ายและทำลาย “คนเคลม” ไม่ว่าเรื่องนั้น...จะเป็นการเมืองภายในหรือระหว่างประเทศก็ตาม
…………………………….
ปรากฏการณ์ “เคลม” หรือ การอ้างสิทธิ์ ทวงสิทธิ์ และบางครั้ง...ก็อาจจะมีการ “สวม(รอย)สิทธิ์” เอากับ ศิลปะวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี เสื้อผ้าการแต่งกาย อาหารการกิน ฯลฯ แม้กระทั่ง กีฬา เช่น มวยไทย ต่างล้วนเคยเกิดขึ้นมาบ้างแล้วในหลายๆ ครั้ง หลายๆ เหตุการณ์ โดยเฉพาะกับประเทศที่มีพรมแดนติดกัน และมีจุดเริ่มต้นแห่งอารยธรรมที่ใกล้เคียงกัน
ล่าสุด ประเทศใกล้เคียงของไทย อย่าง “กัมพูชา” หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า “เขมร” ซึ่งอยู่ระหว่างเตรียมการรับเป็น เจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 (ซีเกมส์ 2023) ระหว่างวันที่ 5-17 พฤษภาคม 2563 หรืออีกหนึ่งเดือนเศษๆ เท่านั้น
ก็กำลังตกอยู่ในห้วงของการ “เคลม” ในหลายสิ่งหลายอย่างจากประเทศไทย
กลายเป็น ปรากฏการณ์ “กระแสดราม่า” ในโลกโซเชียลอย่างบ้าคลั่ง มีการตอบโต้ ด่าทอ เหยียดหยัน ถึงขั้นแช่งชักกันแบบไม่เกรงใจใครกันอีกแล้ว กระทั่งลามเลียออกสู่โลกแห่งความเป็นจริง ถึงขั้นที่ผลของการ “เคลม” ได้ก่อเกิดและกลายเป็นกระแส “ไม่เอาแรงงานเขมร” จากนายจ้าง...เจ้าของกิจการชาวไทย ในเวลานี้...
จนแรงงานเขมรในประเทศไทยในวันนี้ ที่มีนับหมื่นนับแสนคน...ทั้งพวกที่ไม่มีสัญญาการว่าจ้าง และพวกที่มีสัญญาว่าจ้างแต่สัญญาสิ้นสุดลง รวมถึงพวกที่หลบหนีเข้าเมืองมาแบบผิดกฎหมาย ต่างถูกบอกเลิกจ้างและขับไล่ไสส่งกลับประเทศกันไป
พวกที่เตรียมจะเข้ามาใหม่ ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย ล้วนกลายเป็นเรื่องยากหากคิดเข้ามาหางานทำในประเทศไทย เพียงเพราะ “กระแสดราม่า” จากปรากฏการณ์ “เคลม” อย่างเอาเป็นเอาตายของพวกเขมร ที่ชาวโชเชียลไทยสืบเสาะลงลึก กระทั่งทราบว่า...งานนี้ “ทางการกัมพูชา” (รัฐบาลของสมเด็จฯ ฮุนเซน) อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ “เคลม” ทุกอย่างที่เป็นของคนไทย
ลึกมากไปกว่านั้น ฝ่ายความมั่นคงของไทย ยังพบว่า...งานนี้มีลูกพี่ใหญ่ “ชาติมหาอำนาจของโลก” นั่งกำกับอยู่เบื้องหลังของ “รัฐบาลกัมพูชา” คอยกำชับให้เร่งปฏิบัติการ “เคลม” ในห้วงของการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 นี้
จุดเริ่มต้นของปรากฏการณ์ “เคลม” ระหว่างกันรอบใหม่! เกิดขึ้น...เพราะ “กัมพูชา” ใกล้ถึงเวลาเข้าสู่โหมดของ “การเลือกตั้งใหญ่” ในอีก 2 เดือนข้างหน้า ภายหลังเสร็จสิ้นการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ หรือราวเดือนกรกฎาคม 2566
เกือบทุกครั้งของการเมืองที่ใกล้จะมีการเลือกตั้ง ส.ส. ในประเทศนี้ ก็มักจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” ไม่อยู่ในสถานะ “นอนมา” เหนือคู่แข่ง “ฝ่ายค้าน” ในทางการเมือง เช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ปรากฏการณ์สร้างกระแส “รักและคลั่งชาติ” ให้กับชาวเขมรแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใจที่มาและที่ไป กระทั่งไม่สนใจในข้อมูลข้อเท็จจริงแต่อย่างใด จึงอุบัติขึ้น!
ประหนึ่งว่า... ชาติบ้านเมืองเขมรกำลังอยู่ในช่วงของสงครามทางการทหาร จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือ ร่วมแรง และร่วมใจจากประชาชนชาวกัมพูชา สู้กับประเทศเพื่อนบ้าน ยังไงยังงั้นเลย!!!
สิ่งนี้ เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคม 2546 ครั้งนั้น.... สื่อเขมรภายใต้การบงการของทางการกัมพูชา เล่นข่าว “ดาราสาวไทย – กบ สุวนันท์ คงยิ่ง” ไป “เคลม” ในอารยธรรมของเขมร โดยเฉพาะ “เขาพระวิหาร” ว่าเป็นของไทย ที่พวกเขมรมาขโมยเอาไป...
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว “ดาราสาวไทย” ไม่เคยพูด และไม่คิดจะพูดอะไรในเรื่องนี้ แต่เพราะ “ความดัง” ของเธอที่ชาวเขมรทั่วประเทศ... กำลังติดกันงอมแงมในละครโทรทัศน์ที่เธอแสดงนำ เธอจึงกลายเป็น “แพะข้ามชาติ” กระทั่งนำไปสู่การเผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ
ขยายวงกว้างไปสู่... การเหยียบย่ำหัวใจคนไทยทั้งแผ่นดิน นั่นคือ การเผาทำลายธงชาติไทย และเหยียบย่ำพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ของไทย
ทว่าเรื่องราวมันจบลง... ก่อนที่กลายบานปลาย กลายเป็นสงครามทางการทหารต่อกัน
แต่ความเจ็บช้ำของคนไทยบนชัยชนะของ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” ยังคงอยู่ เพียงแต่ไม่ถึงขั้นระเบิดกันออกมา ที่สุด...คนไทยก็เริ่มจะเลือนๆ กับเหตุการณ์เลวร้ายในครั้งนั้น
ผ่านมา 20 ปี ก็ยังคงเป็น “สมเด็จฯ ฮุนเซน” ที่กลับมาใช้กลยุทธ์เดิมๆ กับการสร้างและปั่นกระแส “รักและคลั่งชาติ” ครั้งใหม่ให้กับชาวเขมร ได้ “เคลม” ในทุกสิ่งอย่างของไทย โดยเฉพาะการ “เคลม” กฎระเบียบและกติกาการจัดแข่งขันกีฬามวยไทยในซีเกมส์ครั้งนี้ โดยไม่ใช่ชื่อ “มวยไทย” แต่เปลี่ยนไปใช้ชื่อ “โบกะตอ/กุนขแมร์” จนเกิด “กระแสดราม่า” ในโลกโซเชียล ลามไปสู่โลกความเป็นจริง อย่างที่ได้เกริ่นในตอนต้นนั่นเอง
และเป็นเขา (สมเด็จฯ ฮุนเซน) ที่ออกมายอมรับเองว่า... สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ มันก็เป็นแค่เรื่องของการเมืองที่อยู่ในช่วงเวลาของการปั่นกระแสรองรับการเลือกตั้งใหญ่ คิดว่ารัฐบาลไทยและคนไทย ที่การเมืองต่างก็อยู่ในโหมดใกล้จะเลือกตั้งเหมือนกัน คงเข้าใจและไม่ถือสาอะไรในตัวเขา
แต่ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” คิดผิด! คนไทย...ไม่ได้ยอมอะไรง่ายๆ เหมือนที่แล้วๆ มา เพราะบาดแผลเมื่อ 20 ปีก่อน ยังคงฝั่งแน่นอยู่ในหัวใจของคนไทย และเมื่อถูกปลุกเร้าผ่านกระบวนการและวิธีการเดิมๆ ด้วยการสร้างและปั่นกระแส “รักและคลั่งชาติ” ครั้งใหม่ ผ่านการ “เคลม” ทุกสิ่งอย่างของคนไทย
จึงเริ่มต้นของสงครามการ “เคลม” จึงยากจะยุติลงอย่างง่ายๆ
ยิ่งทางการกัมพูชา... คิดค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดกีฬาซีเกมส์กับประเทศไทยในราคาที่แสนแพง มากถึง 8 แสนดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 28 ล้านบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ประเทศฟิลิปปินส์ (เจ้าภาพจัดซีเกมส์ครั้งที่ 30) และเวียดนาม (เจ้าภาพจัดซีเกมส์ครั้งที่ 30) คิดค่าใช้จ่ายในการให้สิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาซีเกมส์ กับประเทศอาเซียนแค่ 5,000 และ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น
ทว่าครั้งนี้ ทางการกัมพูชากลับคิดค่าลิขสิทธิ์ฯ เฉพาะกับไทย แพงกว่าที่เวียดนามคิดถึง 80 เท่า
เมื่อผสมรวมกับการสร้างและปั่นกระแส “รักและคลั่งชาติ” ครั้งใหม่ของทางการเขมร และสารพัดการ “เคลม” ในทุกสิ่งอย่างของไทย
กระแสคนไทย ไม่เอา...ไม่สน...ไม่ดู...ไม่อุดหนุนสินค้าที่สนับสนุนการถ่ายทอดสดกีฬาซีเกมส์ฯ จึงแผ่ขยาย กลายเป็นแรงกดดันให้ทั้ง กสทช. และการกีฬาแห่งประเทศไทย ต้องยอมหัวใจคนไทย เลิกคิดที่จะเจรจาเพื่อการซื้อสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 32 นี้
นอกจากนี้ การเป็นเจ้าภาพฯของทางกัมพูชา ก็ถูกมองจากหลายคนในกลุ่มประเทศอาเซียน ที่ต่างก็เห็นตรงกันว่า... เป็นการจัดแข่งขันกีฬาฯ ที่ไร้คุณภาพ เหมือนเป็น “กีฬาสีของหมู่บ้าน”
เนื่องจากทางการเขมร “ตัดทิ้ง” กีฬาสากล ที่มีการจัดแข่งขั้นในระดับโอลิมปิกและเอเชียนเกมส์ออกไป รวมถึงตัดกีฬาที่พวกเขาส่งลงแข่งขันไม่ได้ (เพราะถูกตัดสิทธิ์หลังพบนักกีฬาเพาะกายมีการโด๊ปยา) แม้กระทั่งกีฬาที่ประเทศเพื่อนบ้าน “เล่นเก่ง” และมีโอกาสจะได้เหรียญทอง ก็ถูกตัดทิ้งออกไปเช่นกัน
นั่นเพราะ “สมเด็จฯ ฮุนเซน” หาเสียงล่วงหน้ากับคนเขมร ถึงฝันอันยิ่งใหญ่ที่ว่า การเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ฯ ครั้งนี้ พวกเขาจะกวาดเหรียญทอง เพื่อก้าวขึ้นเป็น “เจ้าเหรียญทอง” ในกีฬาซีเกมส์ และเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับประเทศของพวกเขา
ผลพวงของการสร้างและปั่นกระแส “รักและคลั่งชาติ” ครั้งใหม่ ผ่านการ “เคลม” ทุกสิ่งอย่างของคนไทย ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และผลของมัน ก็ได้ทำให้แรงงานเขมร...ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย พลอยต้อง “ตกงาน” และถูกไล่ออกจากประเทศไทยไปตามๆ กัน โดยถูกทดแทนด้วย...แรงงานเมียนมา ที่คิดดีและทำดีกับคนไทยและแผ่นดินไทย มากกว่าพวกเขมร และชาว สปป.ลาว ที่ยืนข้างฝั่งเขมร
ปลายทางหลังกีฬาซีเกมส์ จะรุนแรงมากกว่านี้ เช่นที่ “นักวิชาการไทย” คาดการณ์เอาไว้หรือไม่? ยังมีเวลาให้พวกเราได้ติดตามและพิสูจน์ทราบกัน เชื่อว่า...ภายในปีนี้ หรือไม่เกิน 3 ปีนับจากนี้ คนไทย ชาวอาเซียน และคนทั่วโลก คงได้เห็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการ “เคลม” ของพวกเขมรอย่างแน่นอน!!!
กลับมาที่การเมืองไทย! ซึ่งก็อยู่ในโหมดของการเลือกตั้งครั้งใหญ่เช่นกัน และเราจะมีการโหวตลงคะแนนเสียงเลือกตั้งฯ ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 หรืออีก “เดือนครึ่ง” นับจากวันนี้...เท่านั้น
ปรากฏการณ์ “เคลม” ในการเมืองไทย ก็แรงไม่หย่อนไปกว่าการที่ประเทศใกล้เคียง “เคลม” เอากับประเทศไทย
บางพรรค...ที่แยกตัวมาจากพรรคเก่าที่ใหญ่กว่า ก็ “เคลม” ว่า...พรรคใหม่ของพวกเขา มิต่างจากสาขาของพรรคเก่า ฉะนั้น...เลือกผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้ง และระบบบัญชีรายชื่อของพรรคใหม่ ก็เท่ากับเติมคะแนนเสียงและจำนวน ส.ส. ให้กับพรรคเก่าได้ “แลนด์สไลด์” ไม่ต่างกัน
อีกพรรค...หาเสียงกับคนชนบทของไทย
ทำนอง...เลือกพรรคใหญ่ ต่อให้ “แลนด์สไลด์” สุดท้าย...พรรคใหญ่ที่ว่านี้ก็ต้องมาอัญเชิญ...ส่งเทียบดึงเอา “หัวหน้าพรรคฯ” ของพรรคที่ว่านี้ ไปนั่งเป็น “นายกรัฐมนตรี” เพียงเพราะ...ไม่อยากถูกทหารทำรัฐประหารครั้งใหม่
ด้วยเหตุที่ “หัวหน้าพรรคฯ” ของพวกเขา มากบารมีต่อกองทัพ กระทั่งไม่จำเป็นที่นายทหารจะต้องรวมหัวออกมาทำการ “ยึดอำนาจประชาชน” ให้ต่างชาติแอนตี้! เหมือนเหตุการณ์เมื่อ 8-9 ปีก่อนอีกต่อไป
เรียกว่า...ปรากฏการณ์ของพรรคการเมืองในประเทศไทยรอบใหม่นี้ ทำเอา...คนใกล้และคนจากแดนไกล ต้องออกมาปรามและหยุดกระแสการ “เคลม” ในทางการเมืองครั้งนี้ ชนิด...หลายคน “หัวคะมำ” กันไป
ก็อุตส่าห์หาเสียง “แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” ในหลายๆ จังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศขนาดนี้ มีหรือจะยอมให้พรรคที่แยกหนีออกไปตั้งพรรคใหม่ มาแย่งคะแนนเสียงในทางการเมือง
รวมถึงการจะยอม “ประเคน - เก้าอี้นายกรัฐมนตรี” ให้กับคนที่ไม่รู้อะไรเลย (ไม่รู้...ไม่รู้!!!) นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ที่สำคัญ...พวกเขา (พรรคใหญ่) ได้วางตัวของคนที่จะเข้ามาทำหน้าที่ “นายกรัฐมนตรี” กันแล้ว นั่นก็คือ 1 ใน 3 ของ “แคนดิเดท - นายกรัฐมนตรี” ที่พรรคฯ ได้ประกาศรายชื่อไปก่อนหน้านี้แล้ว และเป็น “คนๆ นั้น” ที่จะนำพาการเมืองและระบบเศรษฐกิจของไทย ก้าวสู่วิถีแห่งอารยะเหมือนนานาอารยประเทศที่เจริญแล้ว นั่นเอง
ถึงบรรทัดนี้...ไม่ว่าจะเป็นการ “เคลม” ข้ามชาติของพวกเขมร เครือข่าย “สมเด็จฯ ฮุนเซน” หรือการ “เคลม” ทางการเมืองภายในประเทศ (ไทย) ต่างก็มีต้นทุนและผลกำไร-ขาดทุนตามมาเช่นกัน
วลีของฟรี! ไม่มีในโลก นั่นมีอยู่จริง! และปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “เคลม เอฟเฟกต์” ก็มีอยู่จริงเช่นกัน
น่าสนใจว่า...หลังจากปรากฏการณ์ “เคลม เอฟเฟกต์” จะเป็นเช่นใด? ทั้งที่จะเกิดขึ้นกับการเมืองภายในและนอกประเทศ อีกไม่ช้าคงได้เห็นกันแน่!!!.