หากไม่มีสารพัดอุปสรรคขวางกั้น! เส้นทาง “ทิม-พิธา” นั่งเก้าอี้นายกฯคนที่ 30 ล่ะก็ เมืองไทยคงไร้การเตรียมความพร้อมสร้าง “ผู้นำรุ่นใหม่” แต่จากนี้ไป...ทั้งพรรคและกองเชียร์คงต้องตัดทิ้งทุกขวางหนาม พร้อมปูพรมแดงหนุนแคนดิเดทสู่เก้าอีหนึ่งเดียวตัวนั้น
……………………………….
“วิกฤต...นำมาซึ่งโอกาส!” วลีนี้...สะท้อนความเป็นจริงของการ วางตัวบุคคลและการสร้างเส้นทางก้าวสู่เก้าอี้ “ผู้นำประเทศ” ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย
หมดจาก สารพัดข้อกล่าวหา! จากบรรดา “นักร้อง” ที่ฟ้องร้องเอาผิดกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หวังสกัดกั้น “ทิม – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดท “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ไม่ให้ก้าวไปถึงฝั่งฝัน
กระนั้น ก็ยังมี...ด่านหินโคตรๆ จาก “250 ส.ว.” ที่บางส่วนประกาศชัด! ไม่ยกมือหนุนให้ “ทิม – พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรี เพียงเพราะมีแนวคิดแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ว่ากันว่า... ส.ว.กลุ่มนี้ ไม่มีกี่ 10 คน แต่ที่มากกว่านั้น ก็คือ การที่มี ส.ว. นำโดยกลุ่ม “ผู้นำเหล่าทัพ” และเพื่อนสมาชิก ส.ว. รวมกันราว 30 คน ที่ประกาศจะ “วางเฉย” ไม่หือไม่อือต่อการจะโหวตหรือไม่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
แต่วิธีการนี้ ก็คือ การ “ปิดสวิทซ์” การนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ “ทิม – พิธา” รูปแบบหนึ่ง! เป็นแบบที่กินลึก! กว่าการไม่โหวตเลือกให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ด้วยซ้ำ!
นี่ยังไม่รวมการทำหน้าที่ต่อของศาลรัฐธรรมนูญ จากบางข้อกล่าวหาที่ กกต. และ/หรือ 50 ส.ส. อาจรวมหัวยื่นฟ้องในคุณสมบัติของ “ทิม – พิธา” ที่คาดว่าจะมีตามมาในอนาคตอันใกล้
หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีสิทธิจะได้นั่งเก้าอี้หนึ่งเดียวตัวนั้นหรือไม่? หากนั่งได้...จะได้สักกี่วัน กี่เดือน?
ทั้งหลายทั้งปวงเป็นผลมาจากเงื่อนปม ที่ทั้ง “ทิม – พิธา” และพรรคก้าวไกล ได้สร้างขึ้นมาเป็นอุปสรรคขวางกั้นกันเองทั้งสิ้น!!!
วันนั้น...หาก “ทิม – พิธา” ไม่เอาตัวไปข้องเกี่ยวกับ “หุ้นสื่อ” (ไอทีวี) ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม หรือเอาตัวเองไปผูกโยงกับเรื่องต่างๆ ที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้องต่อองค์กรอิสระฯ ของบรรดา “นักร้อง” ตามมา...ทุกอย่างก็จบ!
และหากวันนั้น พรรคก้าวไกล ไม่สร้างเงื่อนไขชนิด “ยอมหักไม่ยอมงอ” ไม่ว่าจะเป็น...วลี “มีเราไม่มีลุง” หรือแม้แต่คำประกาศตัวเป็นศัตรูกับคอร์รัปชั่น ยาเสพติด บ่อนพนันผิดกฎหมาย สลายทุนผูกขาด ยังมีอีกสารพัด...
จนกลุ่มคนเหล่านี้ อาจร่วมสุมหัวและลงขันล้ม! ทำทุกอย่าง...ขวางเส้นทางการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ “ทิม – พิธา” อย่างที่เห็นเป็นข่าวตลอดช่วงเวลากว่าเดือนที่ผ่านมา
เมื่อผสมโรงกับการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น มันไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด? เหตุผลสนับสนุนแรก คือ...แนวคิดนี้ ไม่อยู่ในเอ็มโอยูกับ 8 พรรคร่วมรัฐบาล และเป็นภารกิจเดี่ยวข้องพรรคก้าวไกลเอง
สอง...พรรคร่วมรัฐบาลจะสนับสนุน กระทั่ง มีเสียงยกมือโหวตหนุนจนผ่านที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้หรือไม่? ยังต้องลุ้น!
และ สาม...หากผ่านวงของสภาผู้แทนราษฎรไปได้ ก็มีเหลือวงของรัฐสภา ที่มีเสียงของ “250 ส.ว.” คอยเป็นแรงต้าน เรื่องแก้ไขมาตรการ 112 จะผ่านกันไปง่ายๆ ไม่มีทางอย่างแน่นอน
ฉะนั้น การที่บรรดา ส.ว. ยกข้ออ้าง...จะไม่ยกมือโหวตเลือก “ทิม – พิธา” เป็นนายกรัฐมนตรี หรือไม่แสดงท่าที “หืออืออะไร” เพียงเพราะพรรคแกนนำรัฐบาลคิดจะแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ล่ะก็
ถือเป็น “ซูเปอร์เฟคนิวส์” อย่างที่สุด!
อย่างไรก็ตาม หากพรรคก้าวไกลไม่สร้างเงื่อนไขเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น...ปัญหาต่างๆ ก็คงไม่เกิดขึ้น! จนกลายเป็นปัญหาและอุปสรรคขวางกั้น...เส้นทางการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ในวันนี้...
แต่ “ในเสีย...ย่อมมีดี!”
ทั้งนี้ หากมองจาก ปรากฏการณ์ “วิกฤติพิธา” ในช่วงที่ผ่านมาแล้ว จากนี้ต่อไป...พรรคการเมืองและบรรดากองเชียร์คนที่จะส่ง “แคนดิเดต - นายกรัฐมนตรี” ลงชิงชัยในเกมการเมืองสมัยหน้าและสมัยต่อๆ ไปนั้น จำเป็นจะต้องเลือกและสรรหาคนที่มีคุณสมบัติ และมีความพร้อมสุดๆ ชนิด...ไร้ที่ติ ไร้มลทิน ไร้ทุกความเชื่อมโยงใดๆ ที่สาวไปถึงการเปิดปฏิบัติการหยุดยั้งเส้นทาง “นายกรัฐมนตรี”
อาจต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมของคนที่จะมาเป็น “แคนดิเดต - นายกรัฐมนตรี” มากกว่า 10 ปีย้อนหลัง
ไม่ต้องถึงให้มาก! เหมือนกับ...เส้นทางการสรรหา “เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ที่ต้องเตรียมการเลือกสรรหาตัว “ผู้นำ” จากคนรุ่นใหม่ โดยใช้ระยะเวลาการสรรหาและเลือกเฟ้นที่ยาวนานราว 20-30 ปี
กว่าทุกอย่างจะลงตัว... อายุของผู้นำฯที่ถูกหมายตาเอาไว้ เมื่อครั้งมีวัย 20 ปีปลายถึง 30 ปีต้นๆ ก็จะเหมาะเหม็งลงตรงที่อายุของผู้นำ ณ วันต้องโหวตเลือก อยู่ที่ 50 ปีต้นๆ ถึงกลางๆ
ถือว่าเป็นช่วงวัยที่เหมาะสมอย่างที่สุด!!!
สำหรับ “แคนดิเดต - นายกรัฐมนตรี” ของไทย หลังจากสิ้นสุด “ทิม-พิธา” นั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร? ที่อาจต้องมา “รับไม้ต่อ” กลางครัน! หากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมาแล้ว...
โดยเฉพาะกับ “แคนดิเดต- นายกรัฐมนตรี” จากพรรคเพื่อไทย อย่าง...“เศรษฐา ทวีสิน” ก็ใช่ว่าจะรอดในเรื่องคุณสมบัติและความเหมาะสมด้านอื่นๆ ไปได้ง่ายๆ
แน่นอนว่า...เรื่องราวในอดีตของ “เศรษฐา” และ บมจ.แสนสิริ ที่ตัวเขาเคยนั่งแทนเป็น “เบอร์ 1” ในองค์กรธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก่อนหน้านี้ จะต้องถูกขุดคุ้ยและนำมาตีแผ่อย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการได้มาซึ่งที่ดินแปลงใหญ่ ระดับ “แลนด์แบงก์” ในพื้นที่ปริมณฑล ที่มีเรื่องผลประโยชน์ “หมกเม็ด” เข้ามาเกี่ยวข้อง หรือแม้แต่การนำเอาสมบัติสาธารณประโยชน์ เช่น สะพานข้ามคลองประเวศบุรีรมย์ ย่านซอยอ่อนนุช มาเรียกเก็บผลประโยชน์ (เก็บค่าผ่านทางจากรถยนต์ที่ขับผ่านคันละ 20 บาท) ที่เคยตกเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ
ทั้งหลายทั้งปวง...ล้วนนำมาซึ่งการเอาผิด เพื่อสกัดกั้นเส้นทางนั่งเก้าอี้ “หนึ่งเดียวตัวนั้น” ทั้งสิ้น
และประเด็นที่ฝ่ายต่อต้าน จะหยิบนำมาใช้ ก็มีเหตุผลเพียงพอเสียด้วย อย่างน้อย...ในแง่คุณธรรมและจริยธรรมของคนที่ก้าวขึ้นไปเป็น...หัวหน้ารัฐบาลคนใหม่! ก็ไม่ควรให้มีสิ่งนี้เกิดขึ้นมา!
สรุปให้สั้น! ปรากฏการณ์ที่เกิดกับ “ทิม - พิธา” ในวันนี้ ก็อาจจะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการที่พรรคการเมืองอาจต้องนำมาใช้ เพื่อเตรียมความพร้อมในการสรรหาคนจะมาเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า
และอาจต้องประคบประหงม...ไม่ให้มีรอยด่างเกิดขึ้น แม้เพียงสักนิดเดียว
ต่างๆ เหล่านื้ อาจกลายมาเป็น “มาตรฐานใหม่” ของการสรรหาตัวผู้ที่จะเข้าทำหน้าที่ “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย กันเลยทีเดียว!!!.