PTG ตั้งเป้าขยายสถานีบริการน้ำมันครึ่งปีหลังอีก 40 สถานี เป็น 2,206 สถานี พร้อมอัพเป้ายอดขายน้ำมันจากเดิมที่วางเป้าไว้โต 8-12% เป็น 10-15% หลังปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทำสถิติสูงสุดใหม่ ติดต่อกัน 3 ไตรมาส มั่นใจธุรกิจยังเติบโตได้ดีในครึ่งปีหลัง พร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจ Non-Oil อย่างต่อเนื่อง หลังธุรกิจก๊าซ LPG และกาแฟพันธุ์ไทย เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG พร้อมด้วย นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ร่วมกิจกรรม Opportunity Day : บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน นำเสนอข้อมูลธุรกิจ และผลการดำเนินงานประจำ ไตรมาส 2/2566
นายพิทักษ์ เปิดเผยว่า ไตรมาส 2 บริษัทมีปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน สามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ (ALL TIME HIGH) 3 ไตรมาสติดต่อกัน ด้วยยอดขาย 1,534 ล้านลิตร เติบโต 12.2% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะที่การจำหน่ายก๊าซ LPG อยู่ที่ 154 ล้านลิตร เติบโต 28.0%จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้รายได้ในไตรมาสที่ 2 มากถึง 50,802 ล้านบาท เติบโต 9.7% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ขณะที่ครึ่งปีแรก มีรายได้รวม 101,738 ล้านบาท เติบโตถึง 19.3%จากช่วงเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น จึงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) ในภาพรวม และกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม (EBITDA) ลดลง
สำหรับภาพรวมส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของสถานีบริการน้ำมัน ในไตรมาส 2/2566 PTG มีส่วนแบ่งการตลาด 19.5% หรือ 7,285 ล้านลิตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 19.2% และคาดว่าในไตรมาส 4 น่าจะมีโอกาสขยับเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 20%
ทั้งนี้ในปัจจุบัน PTG มีสถานีบริการน้ำมัน 2,166 สาขา แบ่งเป็น สถานีบริการฯ ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ (COCO) จำนวน 1,819 สถานี และสถานีบริการฯ ที่เป็นของผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิ์จากบริษัทฯ (DODO) จำนวน 347 สถานี
ด้าน นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่ PTG รุกตลาดด้าน Non-Oil มีการขยายสาขาเป็นจำนวนมาก ทำให้ไตรมาส 2/2566 มีสาขา 1,805 สาขา ประกอบด้วย กาแฟพันธุ์ไทย 703 สาขา ธุรกิจก๊าซ LPG 527 สาขา แบ่งเป็นสถานีบริการ 234 สาขา ร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง 293 สาขา ร้านสะดวกซื้อ Max Mart 325 สาขา ร้านกาแฟ Coffee World 24 สาขา ศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs 53 สาขา จุดเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง Maxnitron 55 สาขา Max Camp 72 จุด และจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Elex by EGAT Max 46 สาขา ทำให้รายได้จากการขายในส่วนธุรกิจ Non-Oil เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/2566 มีรายได้ 3,337 ล้านบาท เติบโต 53.6% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนครึ่งปีแรก มีรายได้ 6,483 ล้านบาท โตขึ้น 63.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และทำให้สัดส่วนรายได้ของธุรกิจ Non-Oil ขยับเพิ่มเป็น 6.6% ของรายได้รวม ขณะที่ธุรกิจน้ำมันมีสัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ 93.4% จากที่เคยอยู่ในระดับ 96-97%ของรายได้ทั้งหมด
ในส่วนของธุรกิจก๊าซ LPG ไตรมาส 2/2566 มีปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น เป็น 154 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 28.0% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และครึ่งปีแรกอยู่ที่ 305 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 35.0% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่สถานีบริการแก๊สรถยนต์ ในไตรมาส 2/2566 ทาง PTG ยังคงเป็นผู้นำ ด้วยส่วนแบ่งการตลาดอันดับหนึ่งที่ 27.5%
สำหรับธุรกิจกาแฟ ไตรมาส 2/2566 มีรายได้ 294 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.3% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/2566 มีสาขาทั้งสิ้น 703 สาขา เพิ่มขึ้น 71.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ซึ่งการเพิ่มขึ้นของรายได้ไม่ได้มาจากการขยายสาขาเพียงอย่างเดียว แต่มาจากลูกค้าที่มาใช้บริการซ้ำ และการทำกิจกรรมทางการตลาดผ่านบัตรสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ซึ่งปัจจุบันมีฐานสมาชิกกว่า 20 ล้านสมาชิก จึงทำให้ธุรกิจกาแฟ เติบโตอย่างเห็นได้ชัด และทำให้ครึ่งปีแรก มีรายได้ธุรกิจกาแฟ 557 ล้านบาท โต 70.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ส่วนธุรกิจร้านสะดวกซื้อ Max Mart สิ้นไตรมาส 2/2566 มี 325 สาขา มียอดขาย 506 ล้านบาท โตขึ้น 47.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนครึ่งปีแรก รายได้ 972 ล้านบาท โต 49.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ด้านธุรกิจศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs ไตรมาส 2/2566 มี 53 สาขา มีรายได้ 124 ล้านบาท โต 42.7% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน และครึ่งปีแรก รายได้ 240 ล้านบาท โต 58.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อน ๆ หน้า
พร้อมกันนี้ PTG ยังเร่งรุกธุรกิจด้าน Non-Oil มากขึ้น เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านกลไกราคาน้ำมัน และมีการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ในภาคของอนาคต เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะเพื่อชุมชน ซึ่งขณะนี้ได้รับสัญญาซื้อขายไฟเรียบร้อยแล้วและอยู่ในช่วงเริ่มเข้าพื้นที่ก่อสร้าง คาดว่าอีก 2 ปีข้างหน้าจะช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับบริษัท นอกจากนี้ ยังศึกษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของผู้ถือบัตรสมาชิก ในธุรกิจการดูแลรักษารถยนต์ ธุรกิจไฟแนนซ์ และธุรกิจประกันภัยด้วย
สำหรับแนวโน้มครึ่งปีหลัง บริษัทฯ คาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้น เพราะเชื่อว่าไตรมาส 2 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปี ขณะที่ยอดขาย ทั้งปริมาณน้ำมัน และธุรกิจ Non-Oil ยังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าค่าการตลาด ที่ฉุดผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 น่าจะอยู่ในระดับที่ดีกว่าครึ่งปีแรก และเชื่อว่าในไตรมาส 4 หลังจากมีรัฐบาลชุดใหม่ จะมีนโยบายหรือมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ ออกมา
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีเป้าหมายขยายสถานีบริการน้ำมันครึ่งปีหลังอีก 40 สถานี เป็น 2,206 สถานี และตั้งเป้ายอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้นจากเดิมที่วางเป้าไว้ 8-12% เป็น 10-15% หลังครึ่งปีแรกเติบโต 14.3% ส่วนธุรกิจNon-Oil ตั้งเป้าเติบโต 75-85% ซึ่งในครึ่งปีแรก ทำได้ 63.1% โดยคาดว่าธุรกิจก๊าซ LPG และธุรกิจกาแฟ น่าจะเติบโตได้อย่างมีนัย แม้จะปรับลดเป้าหมายขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทย เหลือ 1,200 สาขา
นอกจากนี้ PTG ยังคงไม่ได้ละเลย แนวคิดการดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึง ESG การดูแลสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม-ชุมชน และการกำกับดูแลกิจการที่ดีผ่านโครงการต่าง ๆ ทำให้ PTG ได้รับรางวัล Best ESG Responsible Executive Team Thailand 2023 จาก CFI.co สหราชอาณาจักร และจะยังเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ต่อเนื่องต่อไป