
กูรูด้านพลังงานสะอาดแนะทุกฝ่ายถอดบทเรียน กรณีไฟดับในสเปน-โปรตุเกส มุ่งพลังงานสะอาดมากเกินจนเผชิญความเสี่ยง แนะต้องมีระบบ "แบคอัพ"ที่มั่นคงรองรับเพียงพอ
นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทนิวเอ็นเนอร์จี พลัส โซลูชั่นส์ จำกัด (NEPS) ผู้ประกอบการพลังงานสะอาด และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ได้โพสต์ข้อความ "ไฟดับสเปน โปรตุเกสกว่า 10 ชม. เกิดจากโรงไฟฟ้ามั่นคงไม่เพียงพอ ประเทศไทยมีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ และถอดบทเรียนเรื่องนี้ได้อย่างไร?" โดยระบุว่า ในฐานะผู้ประกอบการพลังงานสะอาด ขอมาย่อยให้ฟังว่ากรณีดังกล่าวเกิดอะไรขึ้นกันแน่ และเราจะป้องกันได้อย่างไร

โดยได้กล่าวถึงภาพรวมของสเปนและโปรตุเกสว่า ด้วยความที่ทั้งสองประเทศ เป็นประเทศที่ใช้พลังงานทางเลือกเป็นหลักและมากที่สุดในยุโรป โดยมีมากถึง 60GW (60,000 เมกะวัตต์) ประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าลม 27 GW และ โรงไฟฟ้าโซลาร์มากถึง 18GW ซึ่งแม้ไฟฟ้าพลังงานทางเลือกเป็นสิ่งที่ดี ช่วยลดโลกร้อน ราคาถูก แต่มันก็มาพร้อมเหรียญอีกด้าน คือ “ความไม่มั่นคง” ด้านพลังงาน
ด้วยเป็น “พลังงานที่ไม่เสถียร” และขึ้นอยู่กับธรรมชาติ หรือ ACT OF GOD เป็นส่วนใหญ่ เช่น โรงไฟฟ้าโซลาร์ที่ต้องอาศัยแดด ซึ่งมี Peak performance ได้แค่ 4-5 ชม.ต่อวัน หรือโรงไฟฟ้าลม ก็ต้องอาศัยลม (ซึ่งจะมีฤดูกาลของมันว่าฤดูไหนลมเยอะ ฤดูไหนลมน้อย)
"หากประเทศไหนมีพลังงานทางเลือกเยอะ ก็จำเป็นที่ต้องมี Backup Power เยอะ ไม่งั้นก็อาจเจอกับความไม่มีเสถียรภาพของพลังงานได้ หากเกิดสถานการณ์ที่กำลังการผลิตมีน้อยกว่าการใช้งานของประชาชน หรือพูดง่ายๆ เมื่อ Production น้อยกว่า Consumption และโรงไฟฟ้าสำรองไม่เพียงพอเมื่อนั้นก็วิบัติอย่างแน่นอน"

ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักข่าว Reuters พบว่า ก่อนเกิดเหตุไฟฟ้าดับประเทศสเปนมีกำลังผลิตไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) 59% พลังงานลม 12% นิวเคลียร์ 11% และโรงไฟฟ้าก๊าซเทอร์ไบน์ชนิดวงจรผสม (CCGT) 5% ซึ่งก็ดูเหมือนจะปกติ แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เพราะเพียง 5 นาที การผลิตไฟพลังงานแสงอาทิตย์ PV ตกต่ำลงแบบน่าตกใจกว่า 50% ส่งผลให้กำลังการผลิตจาก 18GW ลดฮวบสู่ 8GW โดยไม่ทราบสาเหตุ
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้โรงไฟฟ้าสำรองต้องเปิดใช้งาน แต่ด้วยความโชคร้ายที่สเปนและโปรตุเกส มีโรงไฟฟ้าสำรองมั่นคง เช่น ก๊าซ นิวเคลียร์ เขื่อนไม่เพียงพอ ที่จะรับมือกับพลังงานโซลาร์ที่หายไปจากระบบอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ความถี่ในระบบหล่นจาก 50 เหลือ 49.85 Hz ส่งผลให้อุปกรณ์ต่างๆ ทยอยถูกปลดออกจากระบบทันที และทำให้ไฟดับยาวนานกว่า 10 ชม. ประชาชนต้องทนอยู่กับความสับสน และความโกลาหลแบบไม่เคยเจอมาก่อน

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เช่นนี้สามารถเกิดในเมืองไทยได้หรือไม่? นายตรีรัตน์ระบุว่า เป็นไปได้ยาก เพราะประเทศไทยมีพลังงานเสถียรที่มั่นคง เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซ ถ่านหิน น้ำมัน มากกว่าพลังงานทางเลือก (โซลาร์ ลม) ด้วยอัตราส่วนแบบ 90 ต่อ 10% มีความมั่นคงของพลังงานเป็นหลัก และระบบโครงข่ายของเรามีความแข็งแรงที่สุดในภูมิภาค ส่งผลให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ยาก
อย่างไรก็ตาม เราเองก็ประมาทไม่ได้ ด้วยอนาคตประเทศไทยกำลังเริ่ม transform เข้าสู่ยุคพลังงานทางเลือกซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ต้นทุนพลังงานถูกลง แต่ก็ต้องมีการผสมแหล่งพลังงานผลิตไฟของประเทศให้ดี เพราะเมื่อไฟฟ้าพลังงานทางเลือกมีเยอะขึ้น แต่หากโรงไฟฟ้าเสถียรสำรอง Backup ไม่เพียงพอ เมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินที่เป็น Act of God ขึ้นก็อาจกระทบต่อการผลิตไฟได้ ส่งผลให้เกิดสถานการณ์ไฟดับอย่างที่สเปนและโปรตุเกสเจอได้