
ขยับเข้าใกล้ไปอีกนิด สำหรับการสอบสวนสืบสวน เพื่อเอาผิดกับขบวนการ “ฮั้ว สว.” เมื่อปี 67 ล่าสุดสำนวนลับถึงมือ กกต. เรียบร้อยแล้ว
…
หลังจากเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 68 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แจ้งว่า คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนกลาง คณะที่ 26 ได้ส่งสำนวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรือคดีฮั้ว สว. ให้กับสำนักงาน กกต. เรียบร้อยแล้ว โดยความเห็นของคณะกรรมการชุดดังกล่าวถือเป็นความลับ
ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการของรองเลขาธิการ กกต. ซึ่งได้รับมอบหมายจากเลขาธิการ กกต. ดำเนินการวิเคราะห์สำนวนและจัดทำความเห็นที่อยู่ในขั้นตอนที่ 2 เมื่อดำเนินดำเนินการเสร็จแล้ว จะเสนอคณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง จัดทำความเห็นในขั้นตอนที่ 3 ต่อไป
จากนั้นสำนักงาน กกต. จะเสนอสำนวนให้ กกต. ชุดใหญ่พิจารณาในขั้นตอนที่ 4 ซึ่งเป็นขั้นตอนตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวนไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดปี 61 และที่แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 5) ปี 66 ที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วนตามระเบียบที่กำหนด
ส่วนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในวันเดียวกัน พ.ต.อ.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เปิดเผยความคืบหน้าในการสอบสวนคดีอั้งยี่ ฟอกเงิน จากการฮั้ว สว. ว่า เรื่องความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ซึ่ง กกต. ดำเนินการอยู่ ส่วนความผิดอาญาอื่น ทั้งฐานฟอกเงิน และอั้งยี่ ส่วนใหญ่พยานหลักฐานเป็นชุดเดียวกัน เพียงแต่ว่าพิสูจน์ความผิดกันคนละฐาน ส่วน กกต. เรามีคณะอนุกรรมการฯ ไปร่วม 3 คน ก็พิสูจน์ความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

ขณะที่ของดีเอสไอคดีฟอกเงินเป็นหลัก ฟอกเงินทางอาญา ปปง. ก็ไม่ได้ทำ ถ้าเป็นทางอาญา หากคดีปกติก็เป็นของตำรวจ ถ้าคดีพิเศษก็เป็นอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ พยานหลักฐานชุดเดียวกัน แต่พิสูจน์คนละฐาน ฟอกเงินกระทำคนละกรรม มีแนวคำวินิจฉัยมากมายว่า ความผิดฐานฟอกเงิน เอาผิดแต่ละกรรม แต่ละการโอน แต่ละครั้ง แยกกันชัดเจน แต่พยานหลักฐานอาจชุดเดียวกัน
ปัจจุบันดีเอสไอ รวบรวมพยานหลักฐานไป 70% เนื่องจากการพิสูจน์ความผิดคดีอาญาของดีเอสไอ ต้องพิสูจน์ให้ได้หลักฐานใกล้เคียง หรือปราศจากข้อสงสัย ระดับการพิสูจน์ต้องเข้มข้น ชัดเจน เรื่องความผิดฐานฟอกเงิน ต้องไล่เส้นเงินในแต่ละเส้น ไปขอสเตทเมนต์มา บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดทั้งหมด อาจต้องใช้เวลาพิสูจน์เส้นเงินต่างๆ มาวิเคราะห์ว่า เงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด หรือเงินที่ใช้เตรียม หรือเพื่อกระทำผิดนั้น มีการจำหน่ายจ่ายโอน ผู้ใดโอน ผู้ใดรับโอนไปยังบุคคลใดบ้าง ต้องใช้เวลาพอสมควร และต้องพิสูจน์ให้ชัด เราเห็นว่าสัก 1-2 เดือนน่าจะเพียงพอที่ชั่งน้ำหนักได้ว่า มีหลักฐานเพียงพอแจ้งข้อกล่าวหาผู้ใดบ้าง

สำหรับการรวบรวมพยานหลักฐาน พบว่า มีการจ่ายเงินในหลายพื้นที่และการสอบสวนเท่าที่ได้รับฟังพบความชัดเจนมากขึ้น รับฟังได้ว่ามีมูลในการกระทำความผิดตามที่มีการกล่าวหาเกิดขึ้น ทั้งอั้งยี่และการฟอกเงิน รวมถึงที่ประ ชุมมีการกำหนดสอบพยานอีกส่วนหนึ่ง เพื่อที่จะพิจารณาเรียกผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาในโอกาสต่อไป
โดยการสอบปากคำพยานในคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน รวมแล้ว 90 ปาก มีทั้งกลุ่มที่เข้าไปรู้เห็นการวางแผน การทำหน้าที่ต่างๆ โดยเป็นการรู้เห็นด้วยตนเอง และพยานหลักฐานเกี่ยวกับการเงินด้วย อย่างไรก็ตามผลการให้ปากคำในส่วนของผู้ที่มีเส้นทางการเงินเกี่ยวข้อง มีประมาณ 7-8 ราย แต่เราดูหลักฐานการเดินบัญชีเป็นหลัก ว่าการโอนและรับโอนเงินนั้น ส่วนใหญ่พยานจะอ้างว่าเป็นการโอนเงินตามมูลหนี้ แต่เราต้องมาชั่งน้ำหนักอีกทีว่ารับฟังได้มากน้อยแค่ไหน
ดังนั้น สำหรับพยานในลอตถัดไป จะมีพฤติการณ์ไม่เหมือนกับ 90 รายแรกที่สอบสวนไป โดยมีพฤติกรรมจากเส้นทางการเงิน ซึ่งดีเอสไอจะพิสูจน์ว่าบรรดาผู้ช่วยหรือผู้เชี่ยวชาญ หรือที่ปรึกษาประจำตัว สว. ที่มีการแต่งตั้งมีที่มาอย่างไร เพราะทราบว่ามีเงินบางส่วนได้ถูกโอนกลับไปที่คณะบุคคลบางกลุ่ม ก็ต้องติดตามตรวจสอบต่อไป
ประมาณ 1 เดือน จะเห็นความคืบหน้าที่ชัดเจนมากขึ้น หรืออาจเป็นขั้นตอนเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาเลยก็ได้ แต่ขึ้นอยู่กับการได้มาของพยานหลักฐาน โดยการฟอกเงิน พฤติกรรมคือการรับโอนเงินและทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำ ความผิด ส่วนอั้งยี่ คือ การเป็นคณะบุคคลหรือจัดตั้งเป็นคณะบุคคล ปกปิดวิธีดำเนินการ เพื่อไปกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตอนนี้ก็ชัดแล้วว่ามีการจัดตั้งคณะขึ้นมาและแบ่งหน้าที่กันทำ
โดยการฮั้วนั้น พฤติกรรมแวดล้อมมันจะบ่งบอก อย่างช่วงเลือกตั้งบางทีไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมีการรับโอนเงินก้อนใหญ่ หรือเงินกระจายไปยังบุคคลอื่นหลาย 10 เส้น และบุคคลเหล่านั้นไปสมัคร สว. ในช่วงนั้น แล้วมีการเลือกคนที่อยู่ในโพย ซึ่งมันมีความโยงใยกัน จึงยืนยันว่าเราไม่ได้ดูแค่พยานหลักฐานเรื่องเส้นทางการเงินเพียงอย่างเดียว และตอนนี้ทราบว่า เส้นทางการเงินกระจายมากกว่า 30 จังหวัด เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันเป็น 100 คน
“เสือออนไลน์” จึงขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ - ปปง. - กกต. ที่ช่วยกันทำงานนี้มาถึงขั้นออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมารับทราบข้อกล่าวหาไปแล้ว 229 คน (ในส่วนของ กกต.) ประกอบด้วย สว. 138 คน รวมทั้งคนของพรรคภูมิใจไทย และคนนอกอีก 91 คน

งานนี้มีลุ้น! ไปถึงการยุบพรรค ตัดสิทธินักการเมืองที่เข้ามายุ่งเหยิงกับการเลือก สว. โดยเฉพาะ สว. และทีมงานประจำตัว สว. อีก 8 คน ถ้าใครเจอความผิดฐาน “ฟอกเงิน - อั้งยี่” อาจจะต้องคืนเงินเดือน+เงินค่าตำแหน่ง และสวัสดิการต่างๆ กลับคืนมาให้รัฐ เนื่องจากเข้ามาเป็น สว. โดยมิชอบด้วยกฎหมาย
เสือออนไลน์