
หนาวๆ ร้อนๆ กันไปตามๆ กัน สำหรับขบวนการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เมื่อปี 67 เพราะการจับคู่สมยอมแลกเปลี่ยนคะแนนกันตั้งแต่การเลือก สว. ในระดับจังหวัด ถือเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย
…
เนื่องจากมีคดีอย่างอย่าง เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 68 ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง มีคำพิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครเลือกตั้งของสาว 2 คน ซึ่งเป็นผู้สมัคร สว. ระดับจังหวัด จ.ชลบุรี เป็นเวลา 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา (5 ส.ค. 68)
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดช่วงเดือน มิ.ย. 67 สาว 2 คน ลงสมัครเลือก สว. กลุ่มอาชีพที่ 4 (กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวกับสาธารณสุข) ต่อมาได้สนทนาผ่านไลน์ เพื่อแนะนำตัวแลกเปลี่ยนคะแนนกัน หรือสมยอมกันในการลงคะแนน เพื่อให้ได้รับเลือกเป็น สว.
โดยสาวคนที่ 1 เปิดการสนทนาว่า “จูยังไม่มีคู่ ขอแนะนำตัวค่ะ”
สาวคนที่ 2 จึงตอบว่า “หมอกำลังหา อยู่พอดีเลยค่ะ” “เราเป็นเนื้อคู่กันแน่เลยค่ะ มาจับคู่เลือกกันนะคะ...อาทิตย์นี้”
ปิดท้ายด้วย “ยินดีค่ะ จับมือแน่นอนค่ะ”
การสนทนาแนะนำตัวผ่านไลน์กันแค่นี้ งานจึงเข้า! กับ 2 สาวเมืองชลบุรี เนื่องจากผู้สมัคร สว. สามารถกระทำได้เกี่ยวกับการแนะนำตัวว่าตนมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์การทำงานในด้านที่สมัครตามกฎหมายกำหนด เพื่อให้ผู้สมัครนำข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจลงคะแนน โดยให้ใช้วิธีลงคะแนนลับ มิใช่การสมยอมกันจับคู่หรือการแลกเปลี่ยนคะแนนตามที่ 2 สาวกระทำ อันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว
ส่วนกรณีที่ 2 สาวชลบุรี อ้างความเห็นของ นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. ทางเฟซบุ๊ค และตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับการแนะนำตัวของผู้สมัคร สว. และศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาให้เพิกถอนระเบียบ กกต. ว่าด้วยการเลือก สว. ทำให้การแนะนำตัวแบบขอคะแนน หรือแลกเปลี่ยนคะแนน ไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย
แต่ศาลฎีกาฯชี้ว่า เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของนายแสวงที่มีต่อคำพิพากษาของศาลปกครองกลางเท่านั้น ประกอบกับเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยศาลปกครองกลาง มิได้มีผลทำให้การสมยอม การจับคู่แลกเปลี่ยนคะแนนกันสามารถทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
การสนทนาแนะนำตัวผ่านไลน์กันแค่ไม่กี่ประโยค ยังไม่รอดเลย! แล้วกรณีผู้สมัคร สว. จากจังหวัดต่างๆ ซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน นัดกันมาประชุมกันในโรงแรม เป็นกลุ่มๆ ละ 50-100 คน
โดยมีคนหนุ่มของพรรคการเมืองจากบุรีรัมย์-อุทัยธานี-อ่างทอง มาบริหารจัดการประชุมวางแผนต่างๆ คงจะบันเทิงกันล่ะคราวนี้

ไหนจะกรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พบหลักฐานว่า สว. ที่ถูกดำเนินคดีฮั้ว (136-140 คน) ตั้งผู้ช่วยฯ ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญประจำตัว แต่เมื่อได้รับเงินเดือนในแต่ละเดือนแล้วจะโอนเงินไปให้บุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องกับขบวนการฮั้ว สว. ทุกเดือน พฤติกรรมเป็นแบบคนนอกรับเงินเดือนแทน
ดีเอสไอจึงขอหลักฐานเกี่ยวกับผู้ช่วยฯ ผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ของ สว. ไปที่วุฒิสภา กลับถูกเตะถ่วงมาแล้ว 2 สัปดาห์ โดยอ้างกฎหมายว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล
ปกติ สว. 1 คน จะมีทีมงานที่มีเงินเดือนอีก 8 คน (ผู้เชี่ยวชาญ-ผู้ช่วยฯ) คือ 1 คน จะมีเงินเดือน 24,000 บาท ส่วนอีก 7 คนๆ ละ 15,000 บาท/เดือน รวมแล้ว 8 คน ตกเป็นค่าใช้จ่าย 129,000 บาท/เดือน (ยังไม่หักภาษี)
ลองคิดเล่นๆ เอา 129,000 บาท/เดือน ไปคูณด้วย 140 สว. ตกเดือนละ 18 ล้านบาท ถ้าหักภาษีแล้ว หรือเหลือติดบัญชีไว้ให้ 8 คนนิดๆ หน่อยๆ อาจจะเหลือเดือนละ 15 ล้านบาท เบ็ดเสร็จ คือ ปีละ 180 ล้านบาท เงินก้อนถูกโอนไปให้หัวหน้าขบวนการฮั้ว สว. ที่อยู่แถวๆ บุรีรัมย์หรือไม่?
ข้อมูลบัญชีธนาคาร และเส้นทางการเงินของทีมงาน สว. 8 คน มีการโอนเงินไปให้ใคร? ตอนนี้วุฒิสภาจะเตะถ่วงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าถูกแจ้งดำเนินคดีอาญา (ฟอกเงิน-อั้งยี่) กันเมื่อไหร่ ถือว่าตรงนี้คือข้อมูลหลักฐานสำคัญทางอาญา “ดีเอสไอ” สามารถร้องขอต่อศาลบังคับให้เอามาชี้แจงอยู่ดี!
เชิญซื้อเวลากันต่อไป 555
เสือออนไลน์