
กรมส่งเสริมการเกษตร จัดประชุมวิชาการการปรับตัวที่เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้วย Climate Smart Agricultural เพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้และขับเคลื่อนการเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปรับตัวเท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ในภาคเกษตร เตรียมขยายผลเกษตรกร 250,000 ราย ทั่วประเทศ พร้อมร่วมเป็นกำลังสำคัญลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและหนุนเป้าหมายประเทศสู่คาร์บอนต่ำและยั่งยืน ณ ห้อง Auditorium โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ

นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การสร้างภูมิคุ้มกันให้เกษตรกรปรับตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตร ถือเป็นความท้าทายสำคัญ กรมฯ ได้จัดทำแผนการปฏิบัติการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปี 2568 - 2570 ร่วมกับหน่วยงานภาคีและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อช่วยให้เกษตรกรไทย “อยู่รอด” และ “อยู่ดี” ไปพร้อมกัน โดยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเกษตรลง 30 - 40% ภายในปี 2573 รองรับเป้าหมายประเทศในการเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-zero Carbon Emissions) ในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065)

ภายในงานยังได้จัดเวทีเสวนาทางวิชาการ หัวข้อ “แนวทางส่งเสริมการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” โดยมี GIZ ผู้แทนบริษัท Mars Petcare และผู้แทนเกษตรกรร่วมการเสวนา เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการปรับตัวของแต่ละภาคส่วนในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศตลอดห่วงโซ่อุปทานกรมฯ รวมถึงนิทรรศการผลงานวิจัย นวัตกรรม และองค์ความรู้ด้านการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่มีแนวทางการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การขับเคลื่อนการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการศึกษาทดสอบเทคโนโลยีต่าง ๆ กว่า 30 ผลงาน เช่น การทดสอบประสิทธิภาพปุ๋ยชีวภาพละลายฟอตเฟสและปุ๋ยชีวภาพไมคอร์ซาต่อการผลิตลำไย พื้นที่แปลงทดสอบอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ การพัฒนาสูตรเชื้อราไตรโคเดอร์มาชนิดผงเพื่อใช้ในการส่งเสริมการเกษตร ที่ปัจจุบันเริ่มนำร่องใช้กับพื้นที่การเกษตรในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ศึกษาการใช้พื้นที่ว่างหลังฤดูทำนา โดยการปลูกแตงโมพันธุ์กินรีควบคู่การจัดการดินด้วยแนวทางเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นทั้งแนวทางที่ช่วยเพิ่มรายได้ และฟื้นฟูสภาพดิน รวมถึงการจัดทำแปลงเรียนรู้การป้องกันกำจัด หนอนเจาะเมล็ดทุเรียนด้วยวิธีผสมผสาน พื้นที่แปลงทดสอบในจังหวัดสงขลา การใช้ปุ๋ยชีวภาพละลายฟอสเฟตเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตในข้าวโพดข้าวเหนียว จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นต้น เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการปรับตัวของแต่ละภาคส่วนในการบริหารจัดการสินค้าเกษตรในสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน

อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯ มุ่งขับเคลื่อน “การเกษตรมูลค่าสูง และคาร์บอนต่ำ” โดยเปิดโอกาสให้เกษตรกรมีส่วนร่วมปรับเปลี่ยนวิถีการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการเผาในพื้นที่การเกษตร การใช้เทคโนโลยีและปุ๋ยอย่างเหมาะสม การจัดการพื้นที่เกษตรอย่างสมดุล ไม่บุกรุกป่า ปลูกพืชหมุนเวียน และการใช้ระบบเกษตรกรรมฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) เพื่ออนุรักษ์ดินและระบบนิเวศ พร้อมขยายผลจากเกษตรกรต้นแบบสู่ชุมชนอื่น ๆ เพื่อสร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรไทยให้ดีขึ้น ควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และพัฒนาสินค้าเกษตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้เกษตรกรไทยสามารถเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน พร้อมเป็นกำลังสำคัญในการสร้างภาคเกษตรที่เข้มแข็งและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต
