
น้ำลดตอผุดของแท้! หลังกระทรวงคมนาคมยุค "ภูมิใจไทยคัมแบ็ค" หักดิบล้มแก้สัมปทานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ลั่นดานเอกชนจับเสือมือเปล่า เผยข้อสังเกตสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้ร่างแก้ไขสัญญาส่อทำรัฐเสียประโยชน์อื้อถึง 16 ข้อ
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า "โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-แฟลมฉบัง)" หลังจาก นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกฯ และ รมว.กระทรวงคมนาคม ประกาศนโยบายชัดเจนให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ยึดถือกรอบสัญญาสัมปทานเดิมเป็นหลัก โดยจะไม่มีการแก้ไขสัญญาสัมปทานแต่อย่างใด หากเอกชนไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ ก็ต้องบอกเลิกสัญญากันไปนั้น
ล่าสุด มีการเปิดเผยถึงร่างสัญญาแก้ไขที่สำนักงานอัยการสูงสุด ทำหนังสือส่งถึงผู้ว่าการรถไฟฯ ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 แจ้งถึงข้อสังเกตในการตรวจพิจารณาร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ก่อนที่การรถไฟฯ จะตั้งคณะทำงานขึ้นหารือร่วมกับบริษัท เอเชียเอราวัน จำกัด คู่สัญญาเพื่อหาทางออกร่วมกัน โดยข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุดที่ส่งมานั้น สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
#แก้สัญญากระทบกรอบวินัยการเงินรัฐ
1. หลักการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 เรื่อง วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ กำหนดให้ รฟท. จ่ายเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชน โดยให้แบ่งชำระเป็นรายปีหลังรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเปิดบริการทั้งระบบแล้ว โดยกำหนดระยะเวลาแบ่งจ่ายไม่ต่ำกว่า 10 ปี แต่ตามร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดให้ รฟท.จ่ายเงินที่รัฐร่วมลงทุนกับเอกชนตามความแล้วเสร็จของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟ ซึ่ง รฟท. ได้ตรวจและรับมอบไว้แล้ว
นอกจากนี้ หลักการเดิมของโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ ที่อนุมัติโดยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 เรื่อง การชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ กำหนดให้ รฟท. มีหน้าที่มอบสิทธิโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ให้เอกชนร่วมลงทุน โดยจะให้สิทธิเอกชนเริ่มดำเนินโครงการดังกล่าวได้เมื่อเอกชนชำระค่าสิทธิทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายใน 2 ปี นับจากวันที่สัญญาร่วมลงทุนฯ มีผลใช้บังคับ แต่ตามร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม กำหนดให้เอกชนคู่สัญญาชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ โดยแบ่งเป็น 7 งวด เท่า ๆ กัน งวดละ 1,524,441,429 บาท ให้แก่ รฟท. รวมเป็นจำนวน 10,671,090,000 บาท โดยให้ชำระงวดแรกในวันที่คู่สัญญาลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาร่วมลงทุน และ รฟท. จะมอบสิทธิโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ให้เอกชนร่วมลงทุน เมื่อเอกชนชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ต เรลลิงก์ งวดแรก นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาร่วมลงทุนฯ
ดังนั้น การแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ในเรื่องวิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ และเรื่องการชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ เป็นการแก้ไขสัญญาในเรื่องที่เป็นหลักการด้านการเงิน อันเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหลักการและขอบเขตของโครงการฯ และ ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคต ตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 27 รวมทั้งมติคณะรัฐมนตรีที่ได้อนุมัติโครงการฯ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 การแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ จึงจะต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย

# รฟท.แบกความเสี่ยง-ขัดเจตนารมณ์ร่วมทุน
2. การแก้ไขสัญญาที่กำหนดให้หน้าที่ในการจัดหาเงินทุนไม่รวมถึงการจัดหาเงินทุนในส่วนที่เกินกว่าเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ เป็นการแก้ไขโดยปลดภาระหน้าที่ในการจัดหาเงินทุนของเอกชนคู่สัญญาในการพัฒนาโครงการฯ ซึ่งทำให้ รฟท. มีความเสี่ยงที่เอกชนคู่สัญญาจะไม่สามารถจัดหาเงินทุนได้เพียงพอต่อการก่อสร้างงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟในแต่ละงวด ซึ่งขัดกับเจตนารมณ์ของสัญญาร่วมลงทุนฯ
3. การแก้ไขสัญญาซึ่งแก้ไขระยะเวลาการส่งมอบเอกสารเกี่ยวกับสัญญาว่าจ้าง ที่เดิมกำหนดระยะเวลาการส่งมอบเอกสารดังกล่าวภายใน 60 วัน นับจากวันที่ รฟท. ส่งมอบหนังสือแจ้งให้เริ่มงานในส่วนของการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับรถไฟ เป็นภายใน 270 วัน นับจากวันที่ รฟท. ส่งมอบหนังสือแจ้งให้เริ่มงานในส่วนของการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับรถไฟ เป็นการแก้ไขสัญญาที่เปิดโอกาสให้เอกชนคู่สัญญาทำสัญญาก่อสร้างล่าช้า ซึ่งอาจส่งผลให้การเริ่มต้นก่อสร้างโครงการฯ มีความล่าช้าไปด้วย และส่งผลกระทบให้รัฐต้องเสียหายจากการเยียวยาผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการอื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ
4. การปรับลดมูลค่าหนังสือรับประกันไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงของรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นอัน เนื่องมาจากการแก้ไขหลักเกณฑ์การชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ ที่ รฟท. ต้องชำระเงินและรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตั้งแต่ขณะที่การก่อสร้างงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟยังไม่แล้วเสร็จจนถึงวันเริ่มการเปิดให้บริการเดินรถ และมีความเสี่ยงที่เอกชนคู่สัญญาอาจไม่มีความสามารถทางการเงินที่จะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นได้เพียงพอ รวมทั้งอาจเป็นการแก้ไขสัญญาที่เกินกว่าหลักการแก้ไขปัญหาโครงการฯ ที่ได้รับความเห็นชอบตามมติ กพอ. ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567 ดังนั้น รฟท. จึงควรพิจารณาทบทวนการกำหนดมูลค่าหนังสือรับประกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์และความเสียหายของรัฐที่อาจเกิดขึ้นจาก ความเสี่ยงดังกล่าวเป็นสำคัญ

#"สร้างไป-จ่ายไป"ทำรถไฟแบกภาระ-ส่อเสียค่าโง่
5. การแก้ไขวิธีการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ จากเดิมที่ให้แบ่งชำระเป็นรายปีไม่ต่ำกว่า 10 ปีหลังรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเปิดบริการทั้งระบบแล้ว แก้ไขเป็นให้ ชำระเป็นจำนวนเท่ากับมูลค่าของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟที่เอกชนคู่สัญญาดำเนินงานแล้วเสร็จ ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงของงานที่ รฟท. ได้ตรวจรับไว้แล้ว โดยให้ รฟท. ตรวจรับงานทุก ๆ 3 เดือน และให้ชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ ภายใน 2 เดือน นับจากวันที่ รฟท. ได้ออกหนังสือยืนยันการตรวจรับงาน เป็นการแก้ไขสัญญาที่ให้สิทธิเอกชนคู่สัญญาเป็นผู้กำหนดจำนวนวงเงินงบประมาณที่ต้องชำระในแต่ละปี ตามความสำเร็จของมูลค่าของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟที่เอกชนคู่สัญญาได้ดำเนินงานการออกแบบและงานก่อสร้างในแต่ละงวด ซึ่งอาจทำให้ รฟท. ไม่สามารถจัดเตรียมหรือขอจัดสรรงบประมาณเพื่อนำมาชำระไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้การกำหนดให้ รฟท. ต้องชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ ให้แก่เอกชนคู่สัญญาภายใน 2 เดือน นับจากวันที่ รฟท. ได้ออกหนังสือยืนยันการตรวจรับงาน นั้น รฟท. ควรพิจารณาว่าจำเป็นต้องกำหนดระยะเวลาดังกล่าวไว้หรือไม่ และระยะเวลา 2 เดือนนั้นเพียงพอต่อการดำเนินการเบิกจ่ายเงินตามกฎหมาย หลักเกณฑ์ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องหรือไม่ เพื่อเป็นการระมัดระวังมิให้ รฟท. ต้องผิดนัดการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ
6. การแก้ไขสัญญาซึ่งแก้ไขจำนวนค่าชดเชยในกรณีที่มีการเลิกสัญญาเพราะเหตุจากความผิดของเอกชนคู่สัญญา เหตุจากความผิดของ รฟท. และเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน จากเดิมที่กำหนดให้ชำระเท่ากับมูลค่าทางบัญชี แก้ไขเป็นให้ชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ ที่ยังไม่ได้ชำระ ถือเป็นการแก้ไขที่อาจทำให้รัฐต้องรับภาระในการจ่ายค่าชดเชยให้แก่เอกชนคู่สัญญาเพิ่มขึ้นกว่าที่กำหนดไว้เดิมในสัญญาร่วมลงทุนฯ เนื่องจากมูลค่าทางบัญชีอาจมีจำนวนน้อยกว่าเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ นอกจากนี้ การแก้ไขจำนวนค่าชดเชยดังกล่าวยังอาจเป็นการแก้ไขสัญญาที่เกินกว่าหลักการแก้ไขปัญหาโครงการฯ ที่ได้รับความเห็นชอบตามมติ กพอ. ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567
7. การแก้ไขสัญญาโดยกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับหลักประกันงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟและการเริ่มงานในระยะที่ 2 ในส่วนของรถไฟความเร็วสูง อาจไม่สอดคล้องกับความเสี่ยงของรัฐที่เพิ่มขึ้นจากการปรับรูปแบบการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ จึงควรพิจารณาทบทวนการแก้ไขสัญญาดังกล่าว โดยกำหนดให้มีหลักประกันให้ครอบคลุมความเสี่ยงตามมูลค่าของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟ งานระบบรถไฟ และขบวนรถไฟ และกำหนดให้ดำรงมูลค่าของหลักประกันดังกล่าวไว้จนกว่าครบระยะเวลา 2 ปี นับจากวันที่ รฟท. ได้ออกหนังสือรับรองการเริ่มให้บริการเดินรถทั้งระบบ ซึ่งเป็นกำหนดระยะเวลารับผิดในความชำรุดบกพร่องภายหลังการก่อสร้างงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟ
นอกจากนี้ การแก้ไขสัญญาซึ่งเดิมกำหนดให้ รฟท. มีสิทธิบังคับชำระจากหลักประกันสัญญาได้หากเอกชนคู่สัญญาไม่ปฏิบัติหน้าที่ใดตามที่กำหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุนฯ แก้ไขเป็น กำหนดให้ รฟท. มีสิทธิบังคับหลักประกันได้เฉพาะกรณีที่มีการเลิกสัญญาร่วมลงทุนฯ เพราะเหตุความผิดของเอกชนคู่สัญญาเท่านั้น อาจทำให้รัฐได้รับความเสียหายจากกรณีที่ รฟท. ไม่สามารถบังคับหลักประกันเพื่อชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการแก้ไขความชำรุดบกพร่องของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟ หรือการบังคับค่าปรับเพื่อนำไปเยียวยาผลกระทบจากกรณีภาครัฐมีข้อผูกพันต้องชดเชยให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในโครงการอื่น และการที่ไม่ได้กำหนดว่าการที่เอกชนคู่สัญญาไม่วางหลักประกันหรือหลักประกันเพิ่มเติมตามสัญญาเป็นเหตุผิดสัญญาในสาระสำคัญ มีความเสี่ยงจากการที่เอกชนคู่สัญญาไม่วางหลักประกันหรือหลักประกันเพิ่มเติมโดยที่ รฟท. ไม่สามารถบังคับให้มีการดำเนินการดังกล่าวได้ ซึ่งจะส่งผลทำให้ รฟท. เสียหายจากการที่ไม่มีหลักประกันสัญญาเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการปฏิบัติผิดหน้าที่ของเอกชนคู่สัญญา


#รถไฟเสียเปรียบหลักประกันแอร์พอร์ตลิงก์
8. การแก้ไขสัญญาซึ่งกำหนดให้เอกชนคู่สัญญาวางหลักประกันเป็นหนังสือค้ำประกันแอร์พอร์ต เรลลิงก์ ภายใน 270 วัน นับจากวันที่มีผลใช้บังคับของสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฯ และได้แบ่งหลักประกันที่นำมาวางเป็น 6ฉบับ แต่ละฉบับมีวันที่มีผลใช้บังคับหลังจากฉบับก่อนหน้าเป็นเวลาหนึ่งปีนั้น รฟท. ควรพิจารณาทบทวนว่าการกำหนดเวลาให้เอกชนคู่สัญญานำหลักประกันมาวางดังกล่าวนานเกินสมควรหรือไม่ และควรพิจารณากำหนดให้หนังสือค้ำประกันทั้ง 6 ฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับทันทีเมื่อนำมามอบให้ รฟท. หรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภาระหน้าที่ของเอกชนคู่สัญญาซึ่งได้สิทธิในการให้บริการเดินรถและบำรุงรักษาโครงการเกี่ยวกับรถไฟในส่วนแอร์พอร์ต เรลลิงก์ และสิทธิเข้าไปดำเนินกิจการทางพาณิชย์เมื่อได้ชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ งวดแรก
10. การแก้ไขสัญญาซึ่งกำหนดให้เอกชนคู่สัญญาจัดหาหลักประกันระดับในการบริการ (Level of Service) ของการเดินรถไฟความเร็วสูง โดยกำหนดว่า “เมื่อเอกชนคู่สัญญาได้มีการแก้ไขและสามารถผ่านดัชนีชี้วัดที่เกี่ยวข้องในไตรมาสใด ๆ … รฟท. จะคืนหลักประกันเพิ่มเติม … และ/หรือ รฟท. จะคืนเงินที่ รฟท. ได้บังคับภายใต้หลักประกันดังกล่าวให้แก่เอกชนคู่สัญญา…” นั้น รฟท. ควรพิจารณาทบทวนว่าการไม่มีกำหนดระยะเวลาให้เอกชนคู่สัญญาจะต้องแก้ไขและสามารถผ่านดัชนีชี้วัดที่ชัดเจน แต่ให้เอกชนคู่สัญญาสามารถแก้ไขและผ่านดัชนีชี้วัดในไตรมาสใด ๆ แล้วจะได้รับหลักประกันเพิ่มเติมหรือเงินที่ รฟท. ได้บังคับหลักประกันคืนนั้น จะส่งผลกระทบต่อการกำกับดูแลการให้บริการของการเดินรถไฟความเร็วสูงให้มีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริงหรือไม่

#ได้สิทธิพัฒนาที่ดินทั้งที่ยังไม่ชำระหนี้
11. การแก้ไขสัญญาซึ่งแก้ไขการได้รับสิทธิเข้าไปดำเนินกิจการทางพาณิชย์ในแต่ละสถานีของแอร์พอร์ต เรลลิงก์ จากเดิมที่กำหนดให้เอกชนคู่สัญญาได้รับสิทธิเมื่อเอกชนคู่สัญญาได้ชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนในแอร์พอร์ต เรลลิงก์ (“ค่าสิทธิ ARL”) เป็นจำนวนเงิน 10,671,090,000 บาท ครบถ้วน แก้ไขเป็นให้เอกชนคู่สัญญาได้รับสิทธิเมื่อเอกชนคู่สัญญาได้ชำระค่าสิทธิ ARL งวดแรก (ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1,500,000,000 บาท) ให้แก่ รฟท. จึงเป็นการแก้ไขสัญญาที่ทำให้เอกชนคู่สัญญามีสิทธิได้ใช้ประโยชน์ดำเนินกิจการทางพาณิชย์โดยที่ยังไม่ได้มีการชำระค่าสิทธิ ARL ครบถ้วน ซึ่งจะทำให้รัฐเสียประโยชน์จากการขาดรายได้จากการดำเนินกิจการทางพาณิชย์ในช่วงที่ยังไม่ได้รับชำระค่าสิทธิ ARL ครบถ้วน ดังนั้น รฟท. ควรพิจารณาทบทวนการแก้ไขเพิ่มเติมข้อสัญญาดังกล่าวโดยคำนึงประโยชน์และความเสียหายของรัฐเป็นสำคัญ
12. การแก้ไขสัญญา ซึ่งแก้ไขโดยเพิ่มเหตุผ่อนผันและผลของเหตุสุดวิสัยและเหตุผ่อนผัน เป็นการกำหนดข้อสัญญาที่เปิดโอกาสให้เอกชนคู่สัญญามีสิทธิได้รับการแก้ปัญหาเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเอกชนคู่สัญญา ดังนั้น เพื่อความรอบคอบและรัดกุมในการแก้ไขเพิ่มเติมข้อสัญญาดังกล่าว รฟท. ควรพิจารณาหารือกับ สกพอ. ในฐานะคู่สัญญาฝ่ายรัฐของโครงการอู่ตะเภา ในการตรวจสอบความคืบหน้าของการดำเนินโครงการอู่ตะเภา และปรับแก้ไขข้อความในร่างสัญญาให้สอดคล้องกับความคืบหน้าดังกล่าว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีที่เมื่อแก้ไขสัญญาแล้วต้องมีการเยียวยาผลกระทบกับเอกชนคู่สัญญาสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และ/หรือเหตุการณ์ที่ รฟท. และ/หรือ สกพอ. พึงรู้ว่าจะเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการลงนามในสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฯ
13. การแก้ไขสัญญาซึ่งแก้ไขสิทธิการใช้ประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) ในพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการฯ จากเดิมที่กำหนดให้ สกพอ. มีสิทธิใช้ประโยชน์ในพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการฯ โดยให้พื้นที่ที่ สกพอ. มีสิทธิใช้ประโยชน์อยู่ในอาคารพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่มักกะสันและอยู่ในเขตบริเวณที่มีศักยภาพสูงสุดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และให้ สกพอ. มีสิทธิเลือกพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์นั้นได้ก่อนผู้เช่าและผู้ใช้ประโยชน์รายอื่น แก้ไขเป็นให้พื้นที่ที่ สกพอ. มีสิทธิใช้ประโยชน์อยู่ในอาคารพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่มักกะสันเท่านั้น ถือเป็นการแก้ไขสัญญาที่จำกัดสิทธิการใช้ประโยชน์ของ สกพอ. ในการที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในอาคารพาณิชย์ในเขตบริเวณที่มีศักยภาพสูงสุดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และไม่สามารถเลือกพื้นที่ที่ใช้ประโยชน์ได้ก่อนผู้เช่าและผู้ใช้ประโยชน์รายอื่น ซึ่งอาจทำให้ สกพอ. เสียประโยชน์จากการแก้ไขสัญญาดังกล่าว นอกจากนี้ยังอาจเป็นการแก้ไขสัญญาที่เกินกว่าหลักการแก้ไขปัญหาโครงการฯ ที่ได้รับความเห็นชอบตามมติ กพอ. ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2566 และมติ กพอ. ครั้งที่ 4/2567 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2567
14. รฟท. ควรพิจารณากำหนดสิทธิการเรียกค่าปรับในร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฯ สำหรับกรณีที่การดำเนินการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับรถไฟ ในส่วนของงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟในแต่ละงวดล่าช้ากว่าที่กำหนดไว้ในประมาณการงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟที่เอกชนคู่สัญญาและ รฟท. ร่วมกันจัดทำ เพื่อชดเชยผลกระทบที่ รฟท. และ/หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องได้รับจากการที่ต้องแก้ไขผลกระทบของโครงการอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน โครงการอู่ตะเภา โครงการก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2 และโครงการก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา อันเนื่องมาจากความล่าช้าของการดำเนินการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับรถไฟดังกล่าว และ/หรือค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้นจากการที่ต้องจัดสรรงบประมาณ และ/หรือกู้เงินไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับการชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุนในโครงการฯ สำหรับความแล้วเสร็จของงานโยธาของโครงการในงวดที่ล่าช้านั้น
15. เนื่องจากโครงการฯ มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการอื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย – จีน โครงการอู่ตะเภา โครงการก่อสร้างทางวิ่งและทางขับที่ 2 และโครงการก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินอู่ตะเภา รฟท. จึงควรหารือกับ สกพอ. ในฐานะหน่วยงานเจ้าของโครงการร่วมในโครงการฯ และเป็นหน่วยงานรับผิดชอบการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พิจารณาเจรจาแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ ของโครงการฯ โดยกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาไม่ให้การก่อสร้างและการให้บริการเดินรถของโครงการฯ ส่งผลกระทบต่อโครงการอื่น รวมถึงการกำหนดให้ รฟท. มีสิทธิกำหนดประมาณการงานโยธาของโครงการเกี่ยวกับรถไฟในแต่ละงวดให้สอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนของโครงการอื่นที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยงานของรัฐอื่นต้องรับภาระแก้ไขผลกระทบกับผู้ที่เกี่ยวข้องของโครงการอื่นที่ได้รับความเสียหายจากความไม่สำเร็จของโครงการฯ
16. เนื่องจากการส่งมอบพื้นที่ซึ่งเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนตามสัญญาร่วมลงทุนฯ ได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนและป้องกันไม่ให้เกิดความล่าช้าของการก่อสร้างโครงการฯ รฟท. ควรพิจารณาให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ ให้เอกชนคู่สัญญามีหน้าที่เริ่มต้นการพัฒนาโครงการเกี่ยวกับรถไฟ (ยกเว้นแอร์พอร์ต เรลลิงก์) และการพัฒนาพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการฯ ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นนับระยะเวลาของโครงการฯ
นอกจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาทในอนาคตเกี่ยวกับความสำเร็จของเงื่อนไขบังคับก่อนของสัญญาร่วมลงทุนฯ รฟท. ควรพิจารณาให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ ให้เอกชนคู่สัญญายอมรับว่าการส่งมอบพื้นที่พร้อมส่งมอบในส่วนของพื้นที่ของโครงการเกี่ยวกับรถไฟ และพื้นที่เพื่อสนับสนุนบริการรถไฟของโครงการฯ ให้แก่เอกชนคู่สัญญา ตามที่กำหนดไว้เดิมของสัญญาร่วมลงทุนฯ ได้ดำเนินการครบถ้วนและเป็นที่ยอมรับของเอกชนคู่สัญญาแล้ว โดยเอกชนคู่สัญญาจะไม่ยกเหตุดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างเป็นเหตุผ่อนผัน เหตุสุดวิสัย เหตุเรียกร้องค่าเสียหาย และ/หรือเหตุขยายเวลาก่อสร้างของโครงการฯ ในอนาคต



หมายเหตุ: อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-เนตรทิพย์ออนไลน์: Hot Issue
ไฮสปีดเทรน 3 สนามบินเจอทางตัน! "พิพัฒน์" หักดิบล้มแผนแก้สัญญาสัมปทาน!
https://www.natethip.com/news.php?id=10968

-เนตรทิพย์: Hot Issue
แก้สัญญาไฮสปีด 3 สนามบินไม่จบ!.. โยนรัฐบาลใหม่ชี้ขาด - ด้าน UTA ขู่ใช้สิทธิฟ้องรัฐยื้อออก NTP 4 พันล้าน
https://www.natethip.com/news.php?id=10798

เนตรทิพย์: Hot Issue
แก้สัญญา "ไฮสปีดเทรน" จ่อเจอทางตัน! อัยการสูงสุดติงขัดหลักการร่วมลงทุน - มติ ครม.
https://natethip.com/news.php?id=10712

เนตรทิพย์ออนไลน์: Columnist
ตอกย้ำ “ได้คืบจะเอาศอก!”
https://www.natethip.com/news.php?id=4905
