
การ ฮั้ว ส.ว. นับเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดในกระบวนการ “นิติบัญญัติ”
อันเป็น 1 ใน 3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตย
ส.ว. มีอำนาจตรวจสอบคุณสมบัติของบรรดา “องค์กรอิสระ” ทั้ง กกต. ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ หรือแม้แต่อัยการสูงสุด
จึงมีผลต่อการตรวจสอบ และถ่วงดุลอำนาจทั้งหมด

เรื่องนี้มี “พยานเอก” คือ นาย อ. อดีต ส.ส. ภาคอีสาน ปัจจุบันเป็นรองหัวหน้าพรรค ก.
เคยให้การต่อดีเอสไอ พาดพิงไปถึง “บุคคลสำคัญ” ในการประชุมเพื่อวางแผน “ฮั้ว ส.ว.” โดยมีหลักฐานประกอบถึงรูปภาพนั่งร่วมประชุมวางแผนสั่งการ
แถมยังมีหลักฐานเบอร์โทรศัพท์ของผู้วางแผน มีการติดต่อสื่อสารกันโดยตลอด
รวมทั้งบรรดา “บุคคลสำคัญ” เดินเข้าออกปรากฏตัวในโรงแรมที่ประชุมด้วย
ต่อมาดุลอำนาจเปลี่ยนไป ทำให้ นาย อ. กลับคำให้การใหม่ อ้างว่า ก่อนหน้านี้ “ถูกข่มขู่” สมองมึนงง เลยกลับคำให้การชนิดกลับหลังหัน

แต่ดีเอสไอไม่ใช่หมู เพราะมีการสอบปากคำร่วมกับอัยการ และให้พยานเซ็นคำให้การทุกแผ่น รวมถึงหลักฐานทุกชิ้นไว้อย่างแน่นหนา
คำให้การครั้งแรกจึงย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่า
เหมือนตำรวจจับคนร้าย ให้การครั้งแรกตอนเหตุเกิดใหม่ๆ แต่ต่อมากลับคำให้การ ศาลให้น้ำหนักคำให้การในครั้งแรกมากกว่า
การที่พยานกลับคำให้การจึงไม่มีผล แต่ที่มีผลคือ รอรัฐบาลนี้หมดอำนาจเสียก่อน
การ ฮั้ว ส.ว. ถือเป็นการ “ปล้นอำนาจประชาชน” เป็นการ “กินรวบประเทศไทย” โดยแท้
แย่ยิ่งกว่าสมัย คสช. ที่เป็น “รัฏฐาธิปัตย์” แต่งตั้ง ส.ว. ด้วยกติกาพิเศษเสียด้วยซ้ำ
เพราะครั้งนี้มันคือการ “โกงกติกา” ที่มี กกต. เป็นกรรมการผู้ควบคุม

การเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้นี้ จะไม่ใช่แค่ละคร “ทศกัณฑ์ร้องไห้” ที่แม้จะเป็นยักษ์ที่ทะเยอทะยาน
แต่ถูกครอบงำบัญชาการโดยยักษ์อีกตนที่อยู่เบื้องหลัง ยักษ์ตนนี้หลงตัวเอง และถูกอารมณ์โมหะ กิเลสตัณหาครอบงำ
จนถึงขั้นสั่งการไม่ให้ยักษ์ฝั่งตรงข้ามได้ออกจากที่จองจำ
ความแค้นนี้จึงต้องรอเวลาชำระ
โดย.. ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์
