
“พิพัฒน์” สางสัญญา “ไฮสปีดเชื่อม 3 สนามบิน” สั่ง EEC สรุปข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด ชงบอร์ดอีอีซี ก่อนชง ครม. ตัดสินใจต่อไปหรือพอแค่นี้ หวั่นรัฐถูกฟ้อง-ขัดหลัก พ.ร.บ.ร่วมทุน PPP
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือเพื่อติดตามประเด็นความล่าช้าของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) มูลค่ากว่า 2.24 แสนล้านบาท ว่า ได้ประชุมหารือร่วม 5 หน่วยงาน ได้แก่ EEC ในฐานะเจ้าของโครงการ, สำนักงานอัยการสูงสุด, บริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ผู้รับสัมปทาน กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ว่าจากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ 5 หน่วยงานมาให้ข้อมูลว่าหากมีการแก้ไข้สัญญาแล้วจะเป็นอย่างไร จึงเชิญที่ปรึกษาจากอัยการสูงสุดมาร่วมประชุมเพื่อต้องการข้อเสนอแนะ

ทั้งนี้ เนื่องจากเอกชนผู้รับสัมปทานยืนยันที่จะขอแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายเงินสนับสนุนจากภาครัฐจากสัญญาเดิมมาเป็นแบบ “สร้างไป-จ่ายไป” โดยทาง อีอีซี ไม่ได้ขัดข้องในเรื่องนี้เพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าสำเร็จ
ในส่วนของตนนั้นไม่เห็นด้วยกับรูปแบบที่จะสร้างไป จ่ายไป ขณะที่อัยการสูงสุดก็ไม่ได้ชี้ชัดว่าแก้ได้หรือไม่ได้ แต่ในสัญญาข้อ 5 ระบุว่า เหตุการณ์อย่างภัยธรรมชาติ โรคระบาด หรือสงคราม ไม่สามารถใช้เป็นสาเหตุแก้ไขสัญญาได้ ดังนั้นจะนำเรื่องนี้เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้พิจารณา
สำหรับรายละเอียดต่างๆ ได้มอบให้ อีอีซี ไปสรุปเร่งดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานอัยการสูงสุด และให้เสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (บอร์ดอีอีซี) พิจารณาภายในเดือน พ.ย. 2568 ก่อนเสนอ ครม. พิจารณาต่อไป โดยเรื่องนี้จะต้องได้ข้อสรุปก่อนยุบสภาปลายเดือน ม.ค.2569 ซึ่งหลังจากนี้ อีอีซี ต้องไปเร่งหารืออัยการสูงสุดให้ชัดเจนทุกข้อสังเกต และรีบกลับมาเสนอเข้า ครม. โดยเร็วที่สุด

สาเหตุที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขสัญญาฯ นั้น นายพิพัฒน์กล่าวว่า เพราะกังวลว่าจะเป็นตัวอย่างให้โครงการอื่นๆ ร้องขอแก้ไขสัญญาได้เช่นกัน ขณะเดียวกันยังมีความเสี่ยงด้านกฎหมายอย่างชัดเจน ว่าอาจถูกผู้ยื่นประมูลรายอื่นๆฟ้องร้อง เพราะหากรู้เงื่อนไขสามารถเปลี่ยนหลังประมูลได้ แค่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ครม. จะพิจารณาในท้ายที่สุด โดยมี 2 ทางเลือก คือ หาก ครม. อนุมัติให้แก้ไขสัญญา โครงการจะเดินหน้าต่อภายใต้เงื่อนไขใหม่ แต่จะต้องแบกรับความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง และผลกระทบต่อการขัดหลักการ PPP
แต่หาก ครม. ไม่อนุมัติ จะต้องเชิญภาคเอกชนมาหารืออีกครั้ง ว่าต้องการเดินหน้าต่อหรือยุติ ซึ่งอาจทำให้โครงการเข้าสู่ความไม่แน่นอนและต้องหาแนวทางใหม่ตามมติ ครม. อีกครั้ง
หมายเหตุ: อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องในเนตรทิพย์ออนไลน์:Special Report
ลับ ลวง พราง..“ไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน” จับตาบทสรุปสุดท้ายเปลี่ยนสัมปทานสู่ "รับจ้างเดินรถ"
https://www.natethip.com/news.php?id=11212
