
อ้างปิดเอกชนร่วมลงทุน ทั้งที่นำไปให้บริการเชิงสังคม ส่อขาดทุนตั้งแต่ในมุ้ง วงในหวั่นแผนประเคนเอกชนชุบมือเปิบ
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนการจัดซื้อขบวนรถโดยสารและหัวรถจักรของการรถไฟจำนวน 3 โครงการ วงเงินรวม กว่า 58,382 ล้านบาท ว่า โครงการจัดหารถดีเซลรางปรับอากาศ พร้อมอะไหล่ จำนวน 184 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 24,150 ล้านบาท โครงการจัดหารถโดยสารทดแทนขบวนรถด่วนพิเศษ และขบวนรถด่วน พร้อมอะไหล่ จำนวน 182 คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น 10,502 ล้านบาท และ โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้าพร้อมอะไหล่ ขนาดน้ำหนักกดเพลา 20 ตันต่อเพลา จำนวน 113 คัน วงเงินงบประมาณ 23,730 ล้านบาท

ทั้งนี้ คณะกรรมการ(บอร์ด)รถไฟได้เห็นชอบโครงการเหล่านี้ไปแล้ว ก่อนนำเสนอขึ้นไปยังกระทรวงคมนาคม อย่างไรก็ตาม ล่าสุเกระทรวงคมนาคมได้ส่งเรื่องคืนให้ รฟท. ไปหารือร่วมกับกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เพื่อทบทวนแผนลดการกู้เงินและการเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP
โดยกรมขนางทางรางและกระทรวงคมนาคมเห็นว่า ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางรางได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมวุฒิสภา (สว.) แล้ว ซึ่งทางกรมรางเห็นว่า จึงควรเปิดกว้างให้เอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP ได้แล้ว โดยกรมขนส่งทางรางได้มอบหมายให้ รฟท. ไปพิจารณาแผนจัดซื้อขบวนรถใหม่ที่เข้ามาทดแทนรถเก่าที่หมดสภาพการใช้งานว่า สามารถเปิดโอกาสให้เอกชนร่วมลงทุนในรูปแบบ PPP ได้หรือไม่เพื่อลดการกู้เงิน โดยปัจจุบัน รฟท. อยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูล คาดว่า จะเข้าไปหารือร่วมกับกรมรางอีกครั้งภายใน 1-2 สัปดาห์
ในส่วนของการรถไฟนั้น ยอมรับว่าปัจจุบัน รฟท. มีรถไฟเก่าที่จำเป็นต้องจัดซื้อรถใหม่เข้ามาทดแทน หากต้องการให้เอกชนเข้ามาเดินรถในรูปแบบการให้บริการเชิงสังคม (PSO) ในอัตรา 20 สตางค์ต่อกิโลเมตร (กม.) คงเป็นไปได้ยากที่เอกชนจะสนใจเข้ามาลงทุนเพื่อเดินรถ

ที่ผ่านมา ทั้ง 3 โครงการได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟท. แล้ว แต่ทางกระทรวงคมนาคมสั่งให้ รฟท. กลับมาทบทวนเรื่องดังกล่าวใหม่อีกครั้ง หากได้แนวทางที่ชัดเจนแล้วจะต้องเสนอกลับไปยังบอร์ด รฟท. อีกครั้ง โดยคาดว่า จะได้ข้อสรุปแนวทางการและรูปแบบ PPP ภายในปี 2569 โดยใช้เวลาผลิตขบวนรถประมาณ 2 ปี โดยตั้งเป้าเริ่มใช้ขบวนรถใหม่ภายในปี 2571
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ที่จริง กระทรวงคมนาคม และการรถไฟสามารถเลือกใช้แนวทางการ "จ้างเหมาเบ็ดเสร็จ" หรือ Turnkey กับการจัดหาหัวรถจักและโบกี้โดยสารในโครงการเหล่านี้ได้ทั้งหมด จะแยกดำเนินการในแต่ละโครงการ หรือมอบให้เอกชนดำเนินการจัดหาพร้อมที้ง 3 โครงการก็สามารถทำได้ โดยเอกชนจะต้องจัดหา Supplier Credit มาดำเนินการจัดหาในโครงการเหล่านี้ แล้วรัฐหรือ รฟท. จะทะยอยจ่ายคืน แบบเดียวกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ในส่วนของเงินร่วมลงทุนสนับสนุนการก่อสร้าง ที่รัฐและ รฟท. ให้เอกชนลงทุนไปก่อนแล้วจะทะยอยจ่ายคืนในปีที่ 6 ของสัญญาเป็นระยะเวลา 10 ปี