เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจเราโตไว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา จึงตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี) สินค้าไทยที่จะส่งเข้าไปขายในสหรัฐฯ จำนวน 573 รายการ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 4 หมื่นล้านบาทแต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์คนเดิม ประดิดประดอยวาทกรรมชี้แจงว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ถดถอย แต่แค่ “โตช้า”สรุปคือ..เรื่องที่ไทยถูกอเมริกาตัด “จีเอสพี” ไม่เกี่ยวกับว่าเศรษฐกิจไทยโตไว ทำให้คนไทยมีรายได้ต่อหัวสูงขึ้น หรือว่าเศรษฐกิจโตช้า ทำมาค้าขายฝืดเคือง คนตกงานจำนวนมาก และฆ่าตัวตายกันเยอะแต่เรื่องนี้เกี่ยวกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ล้วนๆ เพราะประธานาธิบดี ทรัมป์ มองว่า สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับประเทศไหน ก็งัดมาตรการทางภาษีของสินค้านำเข้ามาเล่นงานกับประเทศนั้นๆ ก่อนส่วนเหตุผลอื่นๆ เป็นเพียงองค์ประกอบการตัดสินใจที่ไม่อาจมองข้ามได้ เช่น 1. บรรยากาศการเมืองการปกครองของประเทศนั้น 2. การวางตัวกับดุลอำนาจของโลก และ 3. ขีดความสามารถในการเจรจาต่อรองของผู้นำประเทศ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่าลืมว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศประชาธิปไตยจ๋า! เป็นประเทศมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลก และมีหู มีตาเป็นสับปะรดกระจายอยู่ทั่วโลกส่วนไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยแบบลุ่มๆ ดอนๆ แล้วอย่าลืมว่าผู้นำสหรัฐฯ มาเยียนประเทศไทยครั้งหลังสุดในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่หลังจากนั้นผู้นำสหรัฐฯ ไม่มาไทยอีกเลย แต่ไปเยียนประเทศเพื่อนบ้านของไทยส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งมาจากการรัฐประหาร พอเป็นนายกฯ ในสมัยที่ 2 ก็ไม่ได้ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงประชาชนส่วนใหญ่ ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องพยายามทุกวิธีทางที่จะเข้าใกล้ผู้นำโลกประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน เพื่อให้คนไทยส่วนหนึ่งยอมรับว่าพล.อ.ประยุทธ์ได้รับการยอมรับจากสังคมโลกพล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าพบนายบารัค โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และผู้นำหญิงของอังกฤษ ท่ามกลางกระแสข่าวมีภาคเอกชนช่วย “ล็อบบี้” ให้ แต่เป็นแค่การพบปะพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น โดยไม่มีออฟชั่นการร่วมโต๊ะเจรจาค้าขาย-ทานข้าวต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าพบโดนัล ทรัมป์ หลังจากนั้น ก็มีข่าวว่าไทยถูกบีบให้ต้องนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐฯ แล้วปีนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้เข้าพบโดนัล ทรัมป์ ทั้งพูดคุยและทานข้าว แต่คงเป็นการทานข้าวมื้อที่แพงมาก เพราะต้องแลกกับการที่ไทยต้องซื้อรถหุ้มเกราะ และเฮลิคอปเตอร์โจมตี มูลค่าหลายพันล้านบาท2. การวางตัวกับดุลอำนาจของโลก เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในสังคมโลกประชาธิปไตย ก็ต้องไปอี๋อ๋อกับจีน ให้จีนเข้ามาทำรถไฟความเร็วสูง แถมซื้อเรือดำน้ำ เรือรบผิวน้ำ รถหุ้มเกราะ และรถถังจากจีนอีกเพียบพูดง่ายๆ ว่าเมื่อเข้าหา “อเมริกา-ยุโรป” ไม่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องหันไปหาจีน เข้าไปสนิทสนมกลมเกลียวกับจีน ในช่วงที่อเมริกากำลังทำสงครามทางการค้ากับจีน ในช่วงที่จีนกำลังมีปัญหากับม็อบฮ่องกง ด้วยข่าวลือที่ว่าอเมริกาหนุนม็อบฮ่องกงจริงๆ แล้วดุลอำนาจของโลก ไม่ได้มีแค่ 2 ขั้ว (จีน-อเมริกา) แต่ในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้ทำให้ดุลอำนาจของโลกไม่ได้มีแค่จีน-อเมริกา แต่ปั่นราคาให้กับรัสเซีย และสวีเดนถ้าเครื่องบินรบของอเมริกาแพงนัก! ก็มองหาเครื่องบินรบจากรัสเซีย และสวีเดน ไว้เป็นทางเลือกใหม่ สุดท้ายไทยก็ได้เครื่องบินรบกริพเพ่น จากสวีเดน มาประจำการอยู่ที่กองบิน 7 จ.สุราษฎร์ธานีสุดท้ายคือ ข้อ 3. ขีดความสามารถในการเจรจาต่อรองของผู้นำประเทศ หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ต้องยอมรับสภาพว่าเป็นนายกฯ มาหลายปี แล้วเคยเห็น พล.อ. ประยุทธ์ ไปเจรจาค้าขายกับใครหรือไม่ อีกทั้งมีความรู้ ความสามารถทางเศรษฐกิจ และศักยภาพอื่นๆ เป็นที่ยอมรับของคนไทย และนานาประเทศหรือไม่?จากปัจจัย 3 ข้อข้างต้น มีการตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะส่วนสำคัญทำให้ “ผู้นำ” ของไทย กลายเป็น “หมูสนาม” ในเวทีการค้าโลก ทั้งนักธุรกิจและคนไทยจึงต้องเจ็บตัวกันอยู่ร่ำไป!!โดย..เสือออนไลน์