รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แจกเงินผ่านบัตรคนจนกว่า 14 ล้านคน ตามด้วยโครงการชิม ช้อป ใช้ มาแล้ว 2-3 รอบ แต่เศรษฐกิจไม่ได้กระเตื้องขึ้น มีแต่ดำดิ่ง คนฆ่าตัวตายกันรายวัน
การแจกเงินไม่ต่างจากฟองสบู่ ไม่ได้ช่วยฉุดกำลังผลิต และกำลังซื้อขึ้นมาเท่าไหร่ เพราะแค่เป็นโครงการ “ทางผ่านเงิน” จากชาวบ้าน ไปเข้ากระเป๋าเจ้าสัวนายทุนใหญ่ที่เดินกอดคอกับรัฐบาลทหารมากว่า 5 ปี
การแจกเงิน โปรยเงิน หรือ “เฮลิคอปเตอร์มันนี่” มีมานานแล้ว หลายประเทศเขาก็ทำกัน แต่เขาต้องเป็น “เสี่ย” จริงๆ รวยจริงๆ ไม่ใช่ “เสี่ยกำมะลอ” สร้างภาระหนี้สินไว้เพียบ แล้วก็กู้เงินมาโปะงบประมาณขาดดุล กู้มาแจกแบบสะเปะสะปะ เหมือนพวกไร้สมอง
ซาอุดิอาระเบีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เคยใช้โครงการเฮลิคอปเตอร์มันนี่กันมาแล้วทั้งสิ้น แต่อย่างที่บอกว่าประเทศเขารวย! จัดเก็บภาษีรายได้เกินดุล รัฐบาลจะหว่านหรือจะแจกเงินก็ดูไม่น่าเกลียด
แต่ “เสี่ยกำมะลอ” แถวๆ นี้ บริหารประเทศมาอย่างต่อเนื่องกว่า 5 ปี งบประมาณขาดดุลบานฉ่ำทุกปี กลายเป็นหนี้สะสมมากว่า 2 ล้านล้านบาท แล้วทำท่าจะแจกเงินอีก 1 แสนล้านบาท เพื่อฉุดภาวะเศรษฐกิจไม่ให้ตกต่ำจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19
ถามว่าการแจกเงินคนละพัน สองพันบาท จะไปพอยาไส้อะไร ใช้จ่ายวูบเดียวก็หมด ส่วนใหญ่นำไปจับจ่ายซื้อสินค้าเพื่อการดำรงชีพ ไปช่วยต่อลมหายใจให้ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ และห้างฯ
ถามว่าได้เงินแจกมาคนละพัน สองพันบาท พอไปเที่ยวสงกรานต์มั๊ย? พอกับค่าชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน และค่าเทอมหรือเปล่า?
ในทางกลับกัน ถ้ารัฐบาลบริหารประเทศแล้วเศรษฐกิจดี เงินพัน สองพันบาท ถือเป็นเรื่องเล็กของชาวบ้าน แต่เพราะเศรษฐกิจซบเซาต่อเนื่องกันมาหลายปี และไม่มีแนวโน้มว่าจะดี ค่าของเงินพัน สองพันบาท จึงไม่มีความหมายในเวลานี้
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 63 ธนาคารโลกใช้ไม้หน้าสามตีแสกหน้าเสี่ยกำมะลอแถวๆ นี้ ว่า ประเทศไทยมีอัตราความยากจนเพิ่มขึ้นถึง 9.8% เป็นชาติเดียวในอาเซียนที่มีรายงานว่าคนจนเพิ่มขึ้นหลายครั้งในรอบ 20 ปี
โดยตัวเลขคนยากจนในไทยเพิ่มขึ้นมากกว่า 6.7 ล้านคน จาก 4.85 ล้านคน และความยากจนยังแพร่กระจายออกไปมากถึง 61 จังหวัด จากทั้งหมด 77 จังหวัด สะท้อนถึงความไร้ฝีมือของรัฐบาล
วันก่อน “ดร.โกร่ง” วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรมว.คลัง จึงออกมาจัดหนักในหลายเรื่อง ทั้ง “กระบวนการยุติธรรม” ที่กำลังเจอวิกฤติศรัทธา การที่ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ สวนทางกับกระแสโลก
ผู้นำของไทยไม่สามารถออกไปเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพราะยังมียศทหารนำหน้า สวนทางกับรัฐบาลเมียนมา ก่อนหน้านี้ไทยจะเป็นเสือตัวที่ 5 ต่อจากฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และเกาหลีใต้ แต่เมื่อมีการทำรัฐประหาร ทุกอย่างจึงล้าหลัง เพราะผู้นำไม่สามารถไปเจรจาแบบทวิภาคีกับต่างประเทศได้ ยิ่งมาเจอค่าเงินบาทแข็ง ยิ่งทำให้การส่งออกทรุดหนักลงไปอีก
ดังนั้น ต้องเรียกร้องให้มีประชาธิปไตยเต็มใบกลับคืนมา เพราะการปกครองด้วยผู้นำทหาร เป็นอุปสรรคต่อการเจรจาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
เมื่อมีเสียงสะท้อนจากหลายด้าน หลายมุมมองขนาดนี้ จึงไม่เข้าใจว่า “ผู้นำ” จะทู่ซี้อยู่ไปเพื่ออะไร? หรือว่าไม่ยากให้การทำรัฐประหารเมื่อเดือน พ.ค.57 “เสียของ”
หรือว่ายัง “ติดลม” กับการเสพติดอำนาจ บนความทุกข์ยากของประชาชนหรือไม่?