“อยู่ข้างหลังเด็ก” ยอมรับออกมาแล้วสำหรับ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่พูดให้ได้ยินชัดๆ ตามนั้นเลย
อย่างว่า...ส่วนสำคัญที่ทำให้ความคิดอ่านของเด็กในยุคสมัยนี้ ก้าวหน้าไปอย่างมาก ชนิด...คนอย่าง นายธนาธร ตามไม่ทันจนต้องอยู่ข้างหลังเด็กๆ ในกลุ่ม “คณะประชาชนปลดแอก” นั้น ส่วนหนึ่ง...เพราะได้รับอิทธิพลทางความคิดจากสื่อ อย่าง...วอยซ์ทีวี และอาจารย์นักวิชาการที่หลายคนก็อาศัยบทบาทความเป็นผู้จัดรายการ หรือช่องทางการนำเสนอข่าวสารและข้อมูลของสื่อทีวีช่องนี้
ขณะเดียวกัน การสัมผัสและรับรู้ได้จากพฤติกรรมของ “ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง” ที่บางคน? ยึดหลักคิด “ตัวกู...ของกู! พวกกู เท่านั้นถูก นอกนั้น...ผิดหมด!” สร้างความอยุติธรรมขึ้นในสังคมไทย ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดระยะเวลาหลายสิบปี
ทำให้เด็กๆ กลุ่มนี้ กระจายตัวและสร้างกิจกรรม “ไล่รัฐบาล” ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
“แยกกันเดิน รวมกันตี”
จากระดับอุดมศึกษา ขยับลงมาถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ล่าสุด ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ร่วมกิจกรรมทางการเมือง สร้าง “3 ข้อเรียกร้อง” ต่อรัฐบาล...ก็มีให้เห็นกันแล้ว
แม้กองหนุนหลายคนจะไม่เห็นด้วยกับบางช่วงบางตอนที่แกนนำนักศึกษาบางคน หยิบยกบางประเด็นขึ้นมาพูด...สร้างความสุ่มเสี่ยงต่อสถาบันสำคัญของชาติ แต่ลึกๆ เขาเหล่านั้น ก็รู้สึกพึงพอใจที่เด็กๆ เหล่านี้ “พูดในสิ่งที่พวกเขาคิด...แต่ไม่กล้าพูด”
ไม่ว่า...ผลการชุมนุมเรียกร้องของเด็กๆ ในกลุ่ม “คณะประชาชนปลดแอก” จะลงเอยอย่างไร?
ความจริงใจของนักการเมือง ทั้งในความเป็น “รัฐบาล” “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” และ “สมาชิกวุฒิสภา” ต่อการจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ “ตัวปัญหา” นั้น ที่สุด! จะมีมุขเด็ด! ยื้อหรือยอมให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ผ่านการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) นั้น...ปัญหายังอาจไม่จบลงในทันที!
“ต้องจบในยุคของเรา” ภารกิจที่แกนนำเด็กๆ ชุดนี้ วาดหวังและวาดฝันเอาไว้ จะลุกลามบานปลายไปในระดับใด?
การใช้...กฎหมาย กฎหมู่ อำนาจรัฐ อำนาจเศรษฐกิจ (เงิน) และสารพัดอำนาจที่มิอาจระบุได้ อาจได้ผลในการปราบปรามระยะสั้น แต่ระยะกลางและยาวแล้ว รอบนี้...คงไม่ง่ายเหมือนการปราบและเข่นฆ่าประชาชน “คนเสื้อแดง” ในปี 2552 และปี 2553
ยิ่งรอบนี้...คนประท้วง ไม่ระบุสี และมีอายุต่ำลง ครอบคลุมนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ขึ้นบนไปจนถึงระดับมัธยมปลายและระดับอุดมศึกษา ยิ่งทำให้ความชอบทำในการปราบปราม โดยเฉพาะการใช้อาวุธสงคราม หรือการใส่ข้อกล่าวหารายแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุม แม้กระทั่ง จัดกลุ่มคนในฝั่งตรงข้าม มาเผชิญหน้าเหมือนเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2519 คงไม่ง่ายอีกต่อไป
ยุคสมัยที่เทคโนโลยีสื่อสารก้าวล้ำไปไกล ทุกภาพ...ทุกความเคลื่อนไหวและเป็นไป จะถูกบันทึกและส่งต่อถึงกัน จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง...กระจายไปทั่วประเทศไทยและทั่วโลก ได้แค่เพียงพริบตา!
รัฐบาลและองค์กรระดับโลก...จะร่วมรู้เห็นเป็นใจให้กับเด็กๆ กลุ่มนี้ จนท้ายที่สุด! รัฐบาลที่มีท่อต่อมาจาก “ซากเผด็จการ คสช.” คงอยู่ยาก
ผลพวงของมัน...จะขยายผลไปไกลจนเกินคาดคิด ชนิด...เอากันให้จบในยุคของเราหรือไม่? ก็น่าสนใจยิ่งนัก!
แต่ที่แน่ๆ วันนี้...“กล้วย” ที่ใครบางคนในรัฐบาล? เคยแจกจ่ายให้กับ ส.ส.บางกลุ่ม ถึงวันนี้...ตอนนี้ มันคงไม่มีค่ามากเท่ากับการที่นักการเมือ จำต้องสวมบท “นกรู้” ที่ย่อมเลือกกิ่ง (ไม้) เกาะให้เป็น..
กิ่งไม้ที่เก่าและแก่...ย่อมง่ายต่อการเปราะหัก หากต้องเกาะกิ่ง (ไม้)...คงต้องเลือกกิ่งที่แข็งแรงและมีอนาคต
ท่าทีของ ส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์ อาจไม่ชัดเจนเท่ากับท่าทีของพรรคภูมิใจไทย แต่ต้องถือว่า...พรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 2 ต่างแสดงท่าทีและจุดยืนชัดเจน ต่อการสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองรอบนี้
จะเพราะมองเห็นปรากฏการณ์ “ซ่อนลึก” บางอย่างหรือไม่? อย่างไร? ถึงได้แสดงท่าทีทำนอง...พร้อมทิ้งรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือต้องการนั่งอยู่ในใจของเด็กรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่จะต้องเป็น “อนาคต” ของชาติ ก็ตาม
ทว่าความสัมพันธ์ของพรรครัฐบาล ระหว่าง...2 พรรคร่วมฯ กับพรรคแกนนำอย่าง...พลังประชารัฐ คงไม่สนิทแนบเหมือนเช่นแต่ก่อนอย่างแน่นอน
อันที่จริง...มันก็ไม่เหมือนเดิม นับแต่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดปฏิบัติการ “ยึดอำนาจ” จากรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล ด้วยการประกาศและต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปเรื่อยๆ กระทั่ง การปรับ ครม.ชุดใหม่ และจัดตั้งศูนย์บริหารเศรษฐกิจฯ (ศบศ.) ที่ตัดทิ้ง “ครม.เศรษฐกิจ” ยึดอำนาจจากรัฐมนตรีต่างพรรคฯ
ถือเป็นจุดปะทุที่รอวันปะทะ...มาตั้งนานแล้ว
ปม “คณะประชาชนปลดแอก” และข้อเรียกร้อง 3 ประการนั้น ต่อให้เร็วแค่ไหน? ก็อาจจะช้ากับท่าทีที่เปลี่ยนไปของนักการเมือง ก็เป็นได้!