I Hear Too...
I Hear Too...
I Hear Too...
เสียงจากกลุ่มผู้ชุมนุม...ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็กและเยาวชนคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ ดังกระหึ่มมาจากทั่วทุกสารทิศ...
ไม่ใช่แค่เสียงที่ดังมาจากกลุ่มผู้ชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพฯ อันเป็นพื้นที่ที่ถูกประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุนเฉินฯ ร้ายแรง และในพื้นที่ปริมณฑล แต่เสียงนี้...ดังกระหึ่มมาจากจังหวัดต่างๆ กระจายไปทั่วประเทศ เหนือใต้อีสานออกและตก..
ไหวไหม? เอาอยู่รึป่าว? คำถามในลักษณะเดียวกัน ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมัยยังเป็น ผบ.ทบ. เคยถามกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อ 6 ปีเศษที่ผ่านมา
ถึงวันนี้...ประโยคคำถามเดียวกัน ดังข้ามโลกผ่านโซเชียลมีเดีย มาถึง พล.อ.ประยุทธ์ ที่สุด! กระแสแรงกดดันอันมหาศาลนี้ คนที่เอ่ยประโยคคำถามข้างต้นเมื่อวันวาน...จะตัดสินใจอย่างไรในวันนี้และพรุ่งนี้?
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมคณะรัฐมนตรีของเขา ประกาศจุดยืน “ไม่ลาออก” แต่นั่น...เกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าจะมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมฯ บริเวณสี่แยกปทุมวัน ด้วยน้ำฉีดสีฟ้า...
แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่รัฐ ได้ทำการสลายการชุมนุมฯ ซึ่งผู้ชุมนุมคลาคล่ำไปด้วย...เด็กและเยาวชนคนหนุ่มสาว ที่มีเพียง 2 มือเปล่า กับขวดน้ำ ร่มและเสื้อกันฝน พร้อมกับการแสดงออกระหว่างการชุมนุมอย่างสันติวิธีตามสิทธิขั้นพื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญไทย เท่านั้น
กระแสต่อต้านรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้หยุดที่ประเทศไทยเพียงแห่งเดียว จากนานาอารยประเทศ...ต่างตั้งคำถามในเชิงที่ต้องการคำตอบจาก “ผู้นำไทย”...
เหตุใดต้องใช้ความรุนแรงเยี่ยงนั้นกับกลุ่มผู้ชุมนุม...
น้ำสีฟ้าที่เจ้าหน้าที่ใช้ฉีดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมฯ คืออะไร? ผสมด้วยสิ่งไหน? เรื่องนี้...มีคำตอบ
เพราะเป็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จากการที่เจ้าหน้าที่รัฐของทางการจีน นำรถฉีดน้ำแรงดันสูงสีฟ้ายิงใส่สลายกลุ่มผู้ชุมนุม จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บเช่นเดียวกับที่เกิดในประเทศไทย และน้ำสีฟ้านั้น...นอกจากจะเป็นการผสมสีและสารที่ทำให้ติดเสื้อผ้าและร่างกายแล้ว ยังประกอบไปด้วย...แก๊สน้ำตา (CN) และ คลอโรเบนซีลิดีน มาโลโนไนทรีล (CS)
จากข้อมูลทางการแพทย์ชี้ว่า...สาร CN อาจก่อให้เกิดอันตรายอย่างฉับพลันและร้ายแรงกับร่างกายคล้ายกับอาการจากสเปรย์พริกไทย เมื่อนำไปผสมกับสาร CS จะก่อปฏิกริยาต่อผิวหนังของผู้ที่ถูกฉีดใส่ โดยทำให้เกิดอาการแสบตา กระทั่ง ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจได้
หากผู้ชุมนุม...ได้รับสารนี้ในปริมาณที่มาก อาจทำให้เกิดอาการแพ้ยาวนานต่อเนื่องถึง 4 สัปดาห์
ที่น่าสลดใจ...ภาพเด็กเล็กวัย 5 ขวบ ก็ตกเป็น “เหยื่อ” ของมฤตยู “น้ำสีฟ้า” นี้ด้วย จนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล เหมือนกับเด็กและเยาวชนอื่นๆ อีกหลายคน
ไม่เว้นแม้กระทั่ง...ในฝั่งของเจ้าหน้าที่รัฐ ที่บังเอิญไปถูก “น้ำสีฟ้า”
จนถึงกับทำให้กลุ่มแพทย์ทั่วประเทศลุกฮือออกโรงเคลื่อนไหว ล่ารายชื่อกว่า 1,000 รายชื่อ เพื่อขอให้รัฐบาลยุติการใช้น้ำผสมสารเคมีดังกล่าวฉีดใส่ผู้ชุมนุม เพราะรู้ซึ้งดีถึงจะพิษสงของน้ำสีฟ้าดังกล่าว
ถึงตรงนี้...หลังการสลายการชุมนุมฯ ด้วย “น้ำสีฟ้า” เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 3563 ซึ่งนายไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษา พล.อ.ประวติร วงษ์สวุรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ทำนอง...บอกว่า การชุมนุมฯ ในลักษณะนี้ “รับมือยาก”
เพราะ...ผู้ชุมนุมฯ ไม่ต้องการยึดพื้นที่ ไม่ต้องการปะทะ แต่ต้องการคือ ภาพประชาชนถูกรังแกทำร้าย!
เป็นการชุมนุมฯ ที่เคลื่อนไหวดุจดั่งน้ำ ดันมาทางหนึ่งก็ไปอีกทางหนึ่ง ไม่มีการปะทะ แต่จะสั่งสมและขยายปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว!!!
ทำนอง... “เอ็งมาข้าหยุด เอ็งรุดข้าถอยเอ็งต่อยข้าหนีพรุ่งนี้ ข้ามาใหม่”
แล้วตั้งคำถามทำนอง...ใครมีปัญญาแก้ปัญหาม็อบนี้? และย้ำทิ้งท้ายอีกว่า...“ความรุนแรง คือขั้นตอนสุดท้ายของการสิ้นสุดความรุนแรง!”
ไม่เพียงแค่นั้น...คำตอบจากคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่า “ผมผิดอะไร?” หลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมฯเรียกร้องให้ “ลาออก” นั้น เกิดขึ้นกับคนที่ชื่อ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่โพสต์เฟซบุ๊ก...ตอบแบบเจ็บแป๊บบบบ..
ทำนอง...นายกรัฐมนตรีท่านนี้ ทำอะไรผิดบ้าง? คำตอบนั้นคือ...
1. เป็นหัวหน้า คสช. ที่ครอบครองอำนาจยาวนานถึง 5 ปี ทั้งๆ ที่เคยรับปากว่า จะขอเวลาอีกไม่นานจะคืนความสุขให้ประชาชน
2. ร่างรัฐธรรมนูญที่สร้างความได้เปรียบให้กับตัวเองเพื่อการสืบทอดอำนาจ ทั้งแก้ระบบเลือกตั้งให้เป็นบัตรใบเดียวเพื่อทำลายพรรคคู่แข่ง ห้ามพรรคอื่นทำกิจกรรมทางการเมือง แต่ตั้งพรรคการเมืองที่แอบอิงชื่อโครงการประชานิยมที่ใช้งบประมาณของรัฐ แต่งตั้ง ส.ว.ที่เป็นพวกพ้อง และเขียนกติกาให้ ส.ว.ค้ำจุนอำนาจตน
3. เคยรังเกียจนักการเมืองคดโกง แต่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง กลับสามารถควบรวมทั้งนักการเมืองที่เคยมีประวัติทุจริต ค้ายา มีคดีใน ปปช. เข้ามาร่วมรัฐบาลอย่างไม่กระดากอาย
4. แทรกแซงองค์กรอิสระ เขียนกฎหมายเพื่อแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามาทำหน้าที่ในองค์กรต่างๆ ทำให้การวินิจฉัยต่างๆล้วนผิดเพี้ยน เช่น นาฬิกาเพื่อนยืมได้ไม่ผิด ถือหุ้นผิดต้องพ้นหน้าที่ กู้ยืมเงินต้องยุบพรรค คำนวณ ส.ส.ปัดเศษเพื่อให้มีเสียงสนับสนุนตั้งรัฐบาลที่เพียงพอ
5. กล่าวคำปฏิญาณตนต่อหน้าพระมหากษัตริย์ ตามเนื้อหาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญเพียง 3 บรรทัดยังไม่ครบถ้วน และไม่รับผิด ไม่ขอพระราชทานอภัยโทษ ถือเป็นการแสดงอำนาจบาดใหญ่ต่อหน้าพระพักตร์
6. ใช้งบประมาณแผ่นดิน เพื่อทำนโยบายประชานิยมหลายแสนล้านบาท เพียงเพื่อหวังคะแนนเสียงจากประชาชนโดยไม่คำนึงถึงฐานะเศรษฐกิจ เงินคงคลัง และภาระหนี้สินของประเทศ
7. บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว วางแผนยุทธศาสตร์ชาติเลื่อนลอย แต่งตั้งกรรมการปฏิรูปประเทศนับสิบชุด มีกรอบเวลาทำงาน 5 ปี ทำงานไปแล้ว 3 ปีเศษ มีผลงานที่สำเร็จตามแผนเพียงร้อยละ 6
8. ขาดความจริงในการปกครองระบอบประชาธิปไตยและการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ปล่อยปละให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่มีการเลือกตั้งกว่า 6 ปี และขาดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนว่า แต่ละแห่งจะให้มีการเลือกตั้งเมื่อใด ต้องรอมติ ครม.แต่ละครั้ง
9. ขาดวุฒิภาวะ ใช้อารมณ์ แสดงถ้อยคำและพฤติกรรมกักขฬะต่อหน้าสื่อครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีการปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น ไม่เป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจที่ดีให้แก่เยาวชนในฐานะผู้นำประเทศ
และ 10. ใช้กำลังรุนแรงในการสลายการชุมนุมที่สงบ ปราศจากอาวุธ เมื่อ 16 ตุลาคม 2563 ไม่เป็นไปตามหลักสากล ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ชุมนุม ที่เป็นเด็ก เยาวชน นักเรียน และจับกุมคุมขังประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
ยิ่งกว่านั้น...ส.ส.ฝ่ายค้านเอง พยายามกดดันให้ ทั้งรัฐบาล โดยเฉพาะ ส.ส.ฝั่งรัฐบาล รวมถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เร่งเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อประชุมหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหานี้ โฟกัสไปที่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯ ว่า...มีความเหมาะสอดคล้องกับสถานการณ์แค่ไหน?
และมีแนวโน้มว่า...ส.ส.ทั้ง 2 ฝ่าย จะร่วมลงชื่อเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อเร่งยุติปัญหานี้โดยเร็ว...
ขณะเดียวกัน ส.ส.ฝ่ายค้านเพื่อไทย นำโดย น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ประกาศจะนำน้องๆ ผู้เสียหายจากการสลายการชุมนุมฯ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯร้ายแรง ไปยื่นฟ้องละเมิดต่อศาลแพ่งในวันจันทร์ที่ 19 ตุลาคมนี้ เพื่อให้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงทั้ง 2 ฉบับ พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวลูกหลานเยาวชนที่ถูกละเมิดสิทธิในครั้งนี้...
เมื่อเสียง I Hear Too...ที่นักวิชาการแปลเป็นไทยทำนอง “ฉันได้ยินด้วย” ดังกระหึ่มเมือง ไปพร้อมกับแรงกดดันจากทั่วทุกสารทิศ...ที่ถาโถมเข้าใส่ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลของเขาอย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย...คำตอบในคำถามที่ตัวเขาเคยถาม อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ “ไหวไหม?” จะถูกนำไปเป็นเกณฑ์มาตรฐานเดียวกัน ก่อนที่รัฐบาลขณะนั้น...จะประกาศยุบสภาฯ
อีกไม่ช้า...คนไทยจะได้เห็นการตัดสินใจ บนแรงกดดันจากฟากฟ้าแสนไกล...ที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ กระทั่ง ตัวเขาอาจต้องเปลี่ยนใจไปจากจุดยืนเดิมที่ว่า...“ไม่ลาออก” ก็เป็นได้!!!.