หากรัฐบาล “คิดเป็น ทำเป็น” แนวทางแก้ไขปัญหาผลกระทบจากพิษโควิด-19 ระลอกใหม่ คงไม่ออกมาในรูป “หว่านข้าวเปลือกให้ไก่” ตัวไหนแข็งแรง! รับสิทธินั่นไป ทางออกมีให้เห็นกันแล้ว ว่าแต่...จะเอารึป่าว?
อดคิดไม่ได้! นโยบายแจกเงินเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากพิษการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำมาใช้...นับแต่รอบแรก เมื่อต้นปี 2563 และรอบใหม่ ก่อนถึงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2563/2564
มิต่างจากพฤติการณ์ “หว่านข้าวเปลือกให้ฝูงไก่”
ใครแข็งแรง มีอาวุธพร้อมกว่า...ได้สิทธิและรับเงินเยียวยาฯ นั้นไป ส่วนคนอ่อนแอและอ่อนด้อยทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่...ก็พ่ายแพ้กันไป
สังคมไทย...คิดเยี่ยงนี้จริงๆ!!!
แล้วมันก็ไม่ไกลไปจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏมากนัก เพราะภาพที่กลุ่มเปราะบาง เช่น คนแก่ คนพิการ คนด้อยโอกาสทางสังคม ฯลฯ ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง! เริ่มเด่นชัดมากขึ้นทุกขณะ
นั่นจึงเป็นที่มาทำให้รัฐบาลชุดนี้ จำต้องขยับตัวกันรอบแล้วรอบเล่า ทว่ายังหาจุดลงตัวไม่ได้?
ครั้งก่อน...คราวเกิดเหตุระบาดฯ รอบแรก อาการ “แพนิค” ของรัฐบาล และหัวหน้ารัฐบาล เกิดขึ้นจากข้อมูลที่คนรอบข้างอัดใส่มาให้ จนสมองไม่อาจจัดเรียงลำดับความสำคัญของข้อมูลดังกล่าวได้
สุดท้าย ประกาศล็อกดาวน์ทั้งประเทศ หยุดกิจกรรมทางธุรกิจในแบบ “เหวี่ยงแห” สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและธุรกิจจำนวนมหาศาล ส่งผลกระทบต่อไปยังความเสียหายด้านโอกาสในการทำงานและประกอบอาชีพของใครอีกหลายคน
การประกาศใช้มาตรการเยียวยาฯกับประชาชนกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น...ผู้ประกอบอาชีพอิสระ รับจ้าง คนทำงานทั้งประจำและไม่จำ เรื่อยไปยังทุกวิชาชีพ รวมถึงเกษตรกร
บางกลุ่มได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการของรัฐ เช่น มาตรการเยียวยา “เราไม่ทิ้งกัน” แจกเงิน 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ให้กับคนกลุ่มใหญ่กว่า 10 ล้านคน และการแจกเงินในลักษณะคล้ายๆ กันให้กับคนในกลุ่มอื่น
รวมถึงการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ-อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไปด้วย จากมาตรการพักหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย รวมถึงจัดหาเงินกู้ก้อนใหม่มาเสริมสภาพคล่อง ต่อยอดและหล่อเลี้ยงธุรกิจ เพื่อให้คงการจ้างงานเอาไว้...
ทั่วถึงบ้าง...ไม่ทั่วถึงบ้าง! ใครเสียงดัง ก็บ่นให้ได้ยินผ่านสื่อ พวกเสียงเบา...ก็ “น้ำท่วมปาก” แบกรับปัญหากันต่อไป
ครั้งนั้น...เพราะไร้ประสบการณ์ และเหตุการณ์ร้ายแรงทำนองนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกยุคสมัยปัจจุบัน ความผิดพลาดที่เกิดขึ้น สังคมไทยพอให้อภัยได้...
แต่กับการปล่อยให้มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ เพียงเพราะคนของรัฐ “เห็นแก่อามิสสินจ้างเล็กน้อย” ปล่อยให้มีการ “นำเข้าผู้ป่วยโควิดฯ” จากเพื่อนบ้าน และเปิดบ่อนพนันผิดกฎหมาย จนกลายเป็นรัศมีระเบิดวงกว้าง...แพร่กระจายเชื้อโควิดฯ ลุกลามไปทั่วประเทศ
ทั้งที่มีอำนาจรัฐเต็มมือ จาก...พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ!!!
มาตรการและโครงการเยียวยาแก้ไขปัญหาของรัฐบาลในรอบนี้ มีประสบการณ์เต็มจากครั้งก่อน ที่ยังคงวนเวียนและขับเคลื่อน มาจนถึงช่วงก่อนหน้าการแพร่ระบาดระลอกใหม่
เรียกได้ว่า...แก้ไข “ความวัว” ยังไม่ทันจบ! ก็พบกับ “ความควาย” เข้าเต็มๆ
แนวทางการรับมือและแก้ไขปัญหาของรัฐบาลรอบนี้...แม้จะมีประสบการณ์จากครั้งที่แล้ว โดยครั้งใหม่นี้...ได้เลือกใช้วิธีการ “รวมกลุ่ม” ผู้ที่ได้รับผลกระทบ แล้วกำหนดแนวทาง/มาตรการ/โครงการ ช่วยเหลือในล็อตเดียวกันเลย
แต่ก็มีความผิดพลาดในลักษณะ “ตกหล่น...ทิ้งคนไว้ข้างหลัง” อยู่ดี?
โครงการ “คนละครึ่ง” ที่โดนใจคนไทย ก็มลายไปกับการปล่อยให้เกิดแพร่ระบาดของไวรัสฯระลอกใหม่ และเมื่อได้เห็นโครงการ “เราชนะ” ที่รัฐบาลและกระทรวงการคลัง คิดว่า...ตัวเอง “คิดดี...ถี่ถ้วนแล้ว”
เอาเข้าจริง! กลับปรากฏช่องโหว่มากมาย
นั่นเพราะ พฤติการณ์การแจกเงินของรัฐบาล เป็นไปในลักษณะ “หว่านข้าวเปลือกให้ฝูงไก่” เช่นที่ สำนักข่าว “เนตรทิพย์” เกริ่นในตอนต้น
เพราะข้อมูลประจักษ์ในวันนี้ คือ มีคนอีกราว 2 ล้านคน ที่แย่งลงทะเบียนรับสิทธิในโครงการ “คนละครึ่ง” รอบเก็บตกไม่ทัน เพราะแค่เพียง 9 นาทีแรก ของวันแรกที่เปิดให้ลงทะเบียนฯ ก็เต็มสิทธิ 1.34 ล้านคนเสียแล้ว
แม้รัฐบาลจะทำโครงการ “เราชนะ” แจกเงินกว่า 2 แสนล้านบาท ให้กับคนกว่า 31 ล้านคน ขึ้นมาแบบทำคู่ขนานกันไป โดยคาดหวังจะได้รับความนิยมเช่นโครงการ “คนละครึ่ง” แต่กลับปรากฏว่า...
โดนด่ากันขรมเมือง! เนื่องจากผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ไม่ได้รับเงินสด เป็นแค่เพียงรับสิทธิการใช้จ่ายเงิน 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน รวม 7,000 บาท
ไม่ใช่เพราะเงินน้อยไป แต่เพราะสิทธิในการใช้จ่ายเงิน ไม่สามารถนำไปแปรเปลี่ยนเป็น...ค่าเช่าบ้าน ค่าขนมลูกไปโรงเรียน และใช้หนี้เงินกู้นอกระบบ ได้
มากกว่านั้น กลุ่มคนที่รัฐบาล พยายามตัดออกไป ไม่ว่าจะเป็น...ข้าราชการและพนักงานของรัฐ คนทำงานในระบบประกันสังคม มาตรา 33 รวมถึงอีกหลายกลุ่มคนที่ไม่อาจเข้าร่วมโครงการ “เราชนะ” ได้นั้น
หลายคน...ไม่อยู่ในจุดที่จะยืนต่อสู่กับผลกระทบของไวรัสโควิดฯ ได้เพียงลำพัง จำเป็นจะต้องได้รับความช่วยเหลือเหมือนกับคนกลุ่มอื่นๆ
นั่นจึงเป็นที่มา...ของโครงการช่วยเหลือเยียวยาคนกลุ่มใหม่ ประกอบด้วย กลุ่มข้าราชการและพนักงานของรัฐที่มีฐานเงินเดือนต่ำ กลุ่มคนในระบบประกันสังคม มาตรการ 33 ที่มีรายได้และเงินฝากไม่อยู่ รวมถึงกลุ่มคนเปราะบาง สารพัด...
สะท้อนภาพความ “ไม่เป็นมืออาชีพ” และไม่อาจเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครั้งก่อน มาปรับใช้กับวิกฤตรอบใหม่ได้เลย
ทางออกของเรื่องนี้...มีนักวิชาการและผู้รู้หลายคนเรียกร้องมาก่อนแล้ว...
ยึดหลักการที่ว่า...ทุกคนเดือนร้อนจากไวรัสโควิดฯ เท่ากัน ฉะนั้น ใครมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ให้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลไปเลย ส่วนคนรวยและไม่ประสงค์จะรับเงินส่วนนี้ รัฐบาลก็ประกาศรายชื่อ “เชิดชูเกียรติคุณ” กันไป
สำหรับคนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี...ไม่มีปัญหา เพราะ...พ่อ แม่ พี่ ป้า น้า อา ลุง ปู ย่า ตา ยาย ต่างได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไปแล้ว จึงมีกำลังมากพอจะเลี้ยงดูคนที่ยังไม่ได้รับสิทธิ เพราะอายุไม่ถึงเกณฑ์
หากคิดว่า...แนวทางนี้ ใช้เงินมาก และรัฐบาลไม่มีเงินพอ ก็ควรหยุดทุกกิจกรรมใช้จ่ายเงินฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยของหน่วยงานรัฐ ตั้งแต่...กองทัพยังกรมกองในกระทรวงต่างๆ ออกไป
หยุดกิจกรรมไร้สาระ เพื่อนำงบประมาณเหล่านั้น มาสร้างสรรค์โครงการดีๆ ทำให้ชีวิตคนไทย มีคุณภาพในระดับที่พอรับมือกับไวรัสโควิดฯ ที่คนของรัฐบาลปล่อยให้มีการระบาดระลอกใหม่ได้
แค่นี้...ก็ทำให้คนไทยและบ้านเมืองไทยไม่ได้เลยรึ!