การเมืองแกว่ง! เพราะภัยเศรษฐกิจ จากพิษโควิด-19 นำสู่การผลัดเปลี่ยนครั้งสำคัญ! หลากนโยบาย “หาเสียง-ตีกิน” ในทางการเมือง จะถูกนำไปใช้ “นโนบายเปิดเสรีกัญชา - โซลาร์ฟาร์ม ในพื้นที่ทหาร” คือ อีกจุดเปลี่ยนของพรรคการเมือง ที่พร้อม “แช่แข็ง” พรรคร่วมรัฐบาล
นโยบายเปิดเสรีกัญชา แม้จะเน้นในทางการแพทย์ แต่ก็ทำเอาคนไทยทั้งประเทศ ตื่นตัวอย่างมีความหวัง ต่อการจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากพืชเศรษฐกิจตัวนี้
ความชัดเจนในการปลดล็อก! เริ่มมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ..
จากนี้...สังคมไทยอาจได้เห็นการออกกฎหมายใหม่ คู่ขนานไปกับการแก้กฎหมายเดิมๆ เปิดช่องให้ทั้งเกษตรกรและคนทั่วไป...ปลูกกัญชาได้อย่างเสรี แม้จะเป็นการเปิดเสรี แบบมีเงื่อนไขก็ตาม
แต่โลกความจริง! โดยเฉพาะโลกของนักการเมืองแล้ว สิ่งที่เห็น...อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น?
ต้องไม่ลืมว่า..การเปิดเสรีกัญชา ซึ่งรวมถึงกัญชง พืชเศรษฐกิจที่มีคุณลักษณะคล้ายๆ กันนั้น จะต้องมีคนได้ผลประโยชน์ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และในทางการเมือง นอกเหนือจากผลประโยชน์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
ลองคิดดู! ใคร? จากพรรคการเมืองไหน? “ตีฆ้อง” เรื่อง “กัญชาเสรี” มาก่อน...ตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด และพรรคการเมืองไหน? คุมกระทรวงหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกำกับดูแล...การปลูกพืชกัญชา-กัญชง ในวันนี้...
พูดกันตรงๆ หากนโยบายเปิดเสรีกัญชา เกิดขึ้นจริง! คงมีเพียง 2 พรรคร่วมรัฐบาล อย่าง...พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประโยชน์เต็มๆ
พรรคภูมิใจไทย คือ คนเปิดประเด็นเรื่องนี้ มาแต่ไก่โห่ แถมหัวหน้าพรรคฯ ยังนั่งแท่นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กำกับดูแลภารกิจนี้...โดยตรง
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ การที่เลขาธิการพรรคฯ นั่งเก้าอี้...รมว.เกษตรและสหกรณ์ ย่อมเกี่ยวพันถึงการดูแลเกษตรกรที่จะได้สิทธิ์ปลูกพืชกัญชาและกัญชง ดังนั้น การให้การส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกร ทำการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเหล่านี้...ย่อมรับคะแนนเสียงไม่ต่างจากพรรคภูมิใจไทย
แล้ว...แกนนำรัฐบาล อย่างพรรคพลังประชารัฐ จะได้อะไรจากเกมนี้
มีเสียงเล่าลือออกจากทำเนียบรัฐบาล ทำนอง...แนวทางการเปิดเสรีกัญชา จะเปิดกว้างเฉพาะในฝั่งที่พรรคพลังประชารัฐ จะได้ประโยชน์สูงสุด...เพียงพรรคเดียวเท่านั้น
หลายคนที่ไม่ใช่ “คอการเมืองตัวจริง” อาจสงสัย? แล้วพรรคพลังประชารัฐ มาเกี่ยวอะไรกับนโยบายเปิดเสรีกัญชา???
ข้อเท็จจริง! ที่คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ นั่นคือ เส้นทางการปลูกพืชกัญชาและกัญชงนั้น ไม่ได้อยู่ในไลน์การกำกับดูแลของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น
เพราะความเป็นจริง...หน่วยงานในกำกับของกระทวงการคลัง โดยเฉพาะกรมสรรพสามิต ที่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีสินค้ากลุ่มอบายมุข เช่น สุรา เบียร์ บุหรี่ ฯลฯ รวมถึงการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) หรือโรงงานยาสูบเดิมนั้น
ล้วนมีหน้าที่กำกับดูแลและส่งเสริมการผลิตใบยาสูบ แก่...เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ พร้อมรับซื้อใบยาสูบจากเกษตรกรฯ โดยที่ กระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่อย่างใด?
การจะยื้อช่องทางปกติ ผ่าน...กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แล้วหันไปเร่งรัดช่องทางพิเศษ...ผ่านกรมสรรพสามิต และ ยสท. จะเป็นอะไรที่ พรรคพลังประชารัฐ ได้ประโยชน์สูงสุด!
แม้ รมว.คลัง ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงการคลังและหน่วยงานในสังกัด จะเป็นโควตากลางของรัฐบาล แต่ก็เป็นคนที่...หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) สามารถพูดคุยได้...
ที่สำคัญ “ตัวจริง” ที่ดูแล ยสท. ก็คือ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง “สายตรง” ของ พล.อ.ประวิตร ที่เพิ่งจะสั่งการให้ ยสท.ประสานหน่วยงานอื่นๆ เดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบ นำร่อง...ไปไกลแล้ว
เพราะ...ยสท. มีความพร้อมมากกว่าช่องทางปกติทั่วไป กล่าวคือ...มีทั้งกลุ่มเกษตกรผู้ปลูกใบยาสูบกว่า 1.3 หมื่นครัวเรือน ที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนมาเพาะปลูกพืชกัญชาและกัญชง
แถมยังมีสถานพยาบาลในสังกัด รวมถึงโรงพยาบาลพันธมิตร และสถาบันการศึกษาอีกมากมาย ที่พร้อมร่วม “ต่อยอด” สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในทางการแพทย์และสาธารณสุข
เห็นได้ชัดว่า...ท่ามกลางอาการ “ขบกัด” ในทางการเมือง ระหว่าง...พรรคพลังประชารัฐ กับ 2 พรรคร่วมรัฐบาล ในหลายปมปัญหาก่อนหน้านี้ ถูกนำไปผสมโรงกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่รับพิษโควิด-19 ไปเต็มๆ จนเงินในท้องพระคลังหลวง หร่อยหรอ ไม่เพียงจะรับมือ...หากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดฯ รอบ 3
ขณะที่ โครงการของรัฐ เช่น...คนละครึ่ง ก็กำลังจะสิ้นสุดลงในสิ้นเดือนมีนาคม 2564 โดยไม่เห็นเค้าลางของการเปิดรอบใหม่ “เฟส 3” นั่นเพราะ...เหลือเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ไม่ถึง 1 แสนล้านบาทด้วยซ้ำ...
อีกด้านหนึ่ง...การจัดเก็บรายได้ภาษีของ “3 กรมภาษี” โดยเฉพาะ “กรมหลัก” อย่าง...สรรพากร ในช่วง 3 เดือนแรก (ตุลาคม - ธันวาคม 2563) ก็หล่นลงวูบ ต่ำกว่าประมาณการนับแสนล้านบาท และหากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแล้ว พบว่า...จัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่ากันมาก จนคนในกระทรวงการ...ไม่อยากจะพูดถึงกันแล้ว
มองไปข้างหน้า...ยังไม่เห็นโอกาสหรือช่องทางใดมากนัก ที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย ในกลับสู่ภาวะปกติขึ้นมาได้ หากยังฝืนลากกันต่อไป...อาจตายหมู่! ยกรัฐบาล
ไม่แน่ว่า...กลางปีนี้ คนไทยอาจได้เห็นการประกาศยุบสภาฯ พร้อมกับการ “จัดทัพ” คัดนักการเมืองหัวกระทิ ทั้งจากพรรคเดิมๆ และกลุ่มที่หลุดออกมาจากการ “แตกขั้ว” ของพรรคฝ่ายค้าน มาร่วมก๊วน...ตั้งพรรคใหม่
หยิบเอานโยบายดีๆ เช่น โครงการปลูกพืชกัญชา ในซีกของกระทรวงการคลัง กรมสรรพสามิต และ ยสท. และอีกหลายๆ โครงการ มาใช้เพื่อหาเสียง สำหรับการเลือกตั้งรอบใหม่...
หากทรงการเมืองยังเป็นเช่นนี้...นั่นก็หมายความว่า แผนการเพาะปลูกพืชกัญชา ในซีกการดูแลของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ อาจถูกเตะสกัด...จนล้มคว่ำ พลิกหงายไม่เป็นท่าเอาก็ได้
เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองแล้ว ไม่ถือใคร? กลุ่มไหน? เป็น...มิตรแท้และศัตรูถาวร
ฉะนั้น อย่าได้ประมาท คนแก่...อย่าง พล.อ.ประวิตร ก็แล้วกัน
เพราะครั้งหนึ่งในชีวิต...ลุงก็อยากได้ชื่อว่าเป็น นายกรัฐมนตรี กับเค้าเหมือนกันหรือไม่?