ทำรัฐประหารเข้ามาบริหารประเทศกำลังจะครบ 7 ปี ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ จากฝีไม้ลายมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผบ.ทบ. ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แต่ว่ากันว่าสร้างผลงานไว้ดูไม่จืด..
ตั้งแต่สภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ ตัวเลขจีดีพีตกต่ำสุดในอาเซียน จำนวนคนจนมากขึ้นก่อนโควิด-19 มาเยือนเสียด้วยซ้ำ หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนเพียบ! สถิติการฆ่าตัวตายของคนไทยสูงมาก การบริหารจัดการล้มเหลวเรื่องวัคซีนโควิด
ไหนจะความอ่อนด้อยของตัวผู้นำในเวทีโลก
ปัญหาความแตกแยกกันหนักขึ้นของคนไทย ปัญหาความสั่นคลอนของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน และปัญหาใหญ่คือรัฐธรรมนูญฉบับปี 60 ไม่เป็นประชาธิปไตยเหมือนสังคมโลก จากการมี ส.ว. 250 คน ที่มาจากการแต่งตั้งโดย พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อไว้เลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สารพัดปัญหาเหล่านี้ เกิดขึ้นหลังวันที่ 22 พ.ค.57 จนถึงวันยังไม่รู้จะแก้ไขอย่างไร เนื่องจากปัญหาใหญ่คือ..รัฐธรรมนูญปี 60 แก้ยาก!
ดังนั้น จึงไม่ต่างอะไรกับการมีโซ่ตรวนคอยล่ามประเทศไว้ไม่ให้เดินไปข้างหน้า
สถานการณ์ทางการเมือง ณ เวลานี้ มีเสียงเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็ “ยุบสภา” หรือ “ลาออก” เพื่อให้ได้คนใหม่ที่มีความสามารถและมีวิสัยทัศน์เข้ามาบริหารประเทศ
โดยขณะนี้มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากฝ่าย “บูรพาพยัคฆ์” ว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไปไม่ไหว! หรือมีการยุบสภาเลือกตั้งเพื่อล้างไพ่กันใหม่ ตัวเลือกคนต่อไปจะเป็นใครไปได้เลย ถ้าไม่ใช่ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ผู้ที่เป็นจอมสุขุมลุ่มลึกของฝ่ายบูรพาพยัคฆ์
กระแสข่าวถึงขั้นระบุว่า ปัจจุบันถึงขั้นเริ่ม “มีการฟอร์มทีมงานของพล.อ.อนุพงษ์ในฐานะว่าที่นายกฯ คนต่อไป” กันแล้ว
สอดรับกับความเคลื่อนไหวภายในเดือน ก.ย.นี้ จะมีการจัดทัพแต่งตั้ง-โยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อรับมือกับพรรคการเมืองที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ ภายใต้การกำกับของนายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะเกษียณราชการปลายเดือน ก.ย.นี้ ไว้รองรับการเลือกตั้งที่อาจจะมีขึ้นช่วงต้นปี 65 ซึ่งตอนนั้น ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง ยังสามารถยกมือเลือกนายกฯ คนใหม่ได้อยู่
ฝ่ายบูรพาพยัคฆ์ประเมินว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ถึงทางตันต้องวางมือ ก็ยังจำเป็นต้องดันคนของบูรพาพยัคฆ์เข้ามาเป็นนายกฯต่อไป เพราะถ้าปล่อยหลุดมือไปถึงคนอื่น มีหวังถูกประชาชนและคนรุ่นใหม่ฝ่ายประชาธิปไตยตามเช็คบิลยาวแน่ๆ
นาทีนี้..ถ้าดูเรื่องคุณสมบัติ ก็ไม่มีใครเหมาะสมเท่า พล.อ.อนุพงษ์
ส่วนพี่ใหญ่อย่าง “ป.ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ คงไม่พร้อมเพราะสุขภาพไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นหวยจึงมาออกที่ พล.อ.อนุพงษ์ ผู้เป็นชายกลางของบ้านบูรพาพยัคฆ์
พล.อ.อนุพงษ์เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 12
พล.อ.อนุพงษ์ กับ พล.อ.ประยุทธ์ รับราชการด้วยกันมาตั้งแต่เป็นผู้หมวด จนขยับถึงผู้บังคับการ กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ฯ (ร.21 รอ.) ค่ายทหารเสือราชินี จ.ชลบุรี ก่อนจะเติบโตตามเส้นทางของกองพลรบสำคัญของประเทศไทย โดยย้ายไปเป็น รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. และเป็น ผบ.พล.ร.2 รอ. (ยศพล.ต.) จ.ปราจีนบุรี ในลำดับต่อมา
ก่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แล้วขยับเข้าไลน์ 5 เสือทบ. หลังจากนั้นจึงก้าวขึ้นเป็นผบ.ทบ. ตามกันมา
แต่ไฮไลท์เส้นทางการรับราชการของ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประยุทธ์ คือเป็นทหารเสือราชินี ก่อนจะขยับขยายไปอยู่ปราจีนบุรี เป็นผบ.พล.ร.2 รอ. โดยที่แห่งนี้คือ “กองกำลังบูรพา” แหล่งที่มาของ “บูรพาพยัคฆ์” นักรบภาคตะวันออก
สำหรับ พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งว่ากันว่าเป็นจอมสุขุมลุ่มลึก! แต่ในช่วงเป็น ผบ.ทบ. ก็มีข้อครหาหลายเรื่อง เช่น การจัดซื้อบอลลูน (เรือเหาะ) ในราคาแพง แต่ใช้งานไม่คุ้มค่า ต้องเสียค่าซ่อมบำรุงเยอะ จนต้องปลดประจำการในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ.
รวมทั้งอีกเรื่องการทุจริตที่ยังคาอยู่ใน ป.ป.ช. คือการจัดซื้อเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด “จีที 200” (ไม้ล้างป่าช้า) ซื้อมาแพงที่สุดในโลก แต่ใช้งานไม่ได้ จากต้นทุนเครื่องละไม่ถึง 1,000 บาท แต่ไทยสั่งซื้อกันมาหลายร้อยเครื่องๆ ละ 800,000-900,000 บาท หรือเฉียดล้านบาทก็มี อนุมัติจัดซื้อมากมายในยุค พล.อ.อนุพงษ์ เป็น ผบ.ทบ.
ต้องคอยดูว่า “จีที200” จะเป็นบ่วงรัดคอ พล.อ.อนุพงษ์ ว่าที่นายกฯ คนต่อไปหรือไม่?
เสือออนไลน์