ถึงนาทีนี้...กับปัญหาและความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ในการบริหารสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 คงยากที่แกนนำรัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบได้ เพราะแม้แต่จะหนีปัญหาด้วยการยุบสภาฯ ยังทำได้ไม่ง่าย! รอก็แต่...จะเปลี่ยน “หัวหน้ารัฐบาล” อย่างไร? ถึงนำพาประเทศไทย ก้าวพ้นวังวนแห่งหายนะรอบนี้ไปได้
เดิมที...คอการเมืองวิเคราะห์ว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีฯ และพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “พี่ใหญ่ 3 ป.” จะประกาศยุบสภาฯ
นั่นเพราะต้องการชิงความได้เปรียบ หลังจากที่หว่านเงินงบประมาณ “ซื้อใจ” คนไทย...จากมาตรการรัฐ “แจกเงิน” สารพัดโครงการสู้โควิด-19
กอปรกับการ “กักตุน” ทั้งเงินทุนและเครือข่ายสนับสนุน...ทั้งภาคการเมืองและธุรกิจมากมาย กับการผลักดันซูเปอร์โครงการขนาดยักษ์หลายโครงการ ที่จะสามารถดึงเม็ดเงินใหม่ๆ มากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่โควิดฯ ระบาด จนหลายองค์กรธุรกิจขาดสภาพคล่อง ไม่มีรายได้มาจ่ายเป็นเงินภาษีให้รัฐบาล แถมยังมีผลดีต่อความได้เปรียบทางการเมือง
แต่นั่น...มันเกิดขึ้นก่อนหน้าจะมีเหตุการณ์ “คลัสเตอร์ ทองหล่อ” เพราะหลังจากนั้น...แม้ตัวละครที่สร้างเหตุ วิกฤตแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 รอบที่ 3 นับแต่ต้นเดือนเมษายนเป็นต้นมา...จะเป็นแกนนำของพรรคร่วมรัฐบาล
ทว่า...ด้วยความเป็น “คนร่วมรัฐบาล” และอำนาจรัฐทั้งหมดในช่วงการประกาศต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไปเรื่อยๆ อยู่กับหัวหน้ารัฐบาล
รวมถึงการที่ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งหัวโต๊ะเป็น ผอ.ศบค.นั้น
จึงยากจะปฏิเสธในความบกพร่องและผิดพลาด จนเกิดเหตุโควิดฯ รอบ 3 ระบาดไปทั่วอย่างรุนแรง
ครั้นจะโทษคนของพรรคร่วม ก็ยากที่ตัวเองและพรรคหลัก...จะพ้นความผิดไปด้วย
ยิ่งเรื่องบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโควิดฯ ยิ่งเห็นได้ชัดว่า...รัฐบาลชุดนี้ ตั้งแต่...หัวหน้ารัฐบาล (นายกรัฐมนตรี) จนถึง...รัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานด้านสาธารณสุข
จนถูกโจมตีหนักว่า ไร้วิสัยทัศน์ ไร้ศักยภาพ และไร้ความสามารถอย่างยิ่งยวด!
ผสานกับความอ่อนด้อยในการบริหารจัดการปัญหาเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ
แทนที่ทีมเศรษฐกิจ ซึ่งจะว่าไป...หัวหน้าทีม ก็ยังเป็นชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเอาเงินไปแจกจ่ายแบบไร้เข็มทิศ เพียงเพราะต้องการ “ซื้อใจ” ประชาชน แล้วหันมาแก้ไขปัญหาโควิดฯ อย่างจริงจัง
ก็ถ้าช่วงสิงหาคม-กันยายน 2563 รัฐบาลเพลาการแจกเงิน และนำเงินที่แจกไปจัดหาวัคซีนมาให้ทันการฉีดแก่ประชาชนในช่วงต้นปี 2564
เม็ดเงินจำนวนกว่า 2 แสนล้านบาท ยังเหลือๆ พอจะซื้อหาวัคซีนฯมาฉีดให้กับคนทั้ง 70 ล้านคน และทุกอย่างจะเสร็จสิ้นในช่วงเวลา 3-4 เดือน ถ้ารู้จักบริหารจัดการดีๆ...
แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ทำเอาสังคมไทยเข้าใจตรงกัน! ทุกคนที่ถืออำนาจรัฐในคณะรัฐบาล...ล้มเหลวไม่เป็นท่า
ถึงตอนนี้...ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องการจะยุบสภาฯ ก็ยากจะหลีกเลี่ยงได้กับปัญหาความล้มเหลวที่เกิดขึ้น และดูเหมือนกระแสสังคมยามนี้ พุ่งเป้า...ชี้ความผิดพลาดไปยัง พล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลของเขา
รุนแรงมากขึ้นทุกวัน
วันนี้...แม้กลเกมในทางการเมืองของพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเป็นการส่ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลงลึกและรุกกินพื้นที่ทางการเมืองในภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ จนทำให้พรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ออกมาโวยลั่น
หรือแม้แต่การส่งสัญญาณให้ กลุ่มหมอไม่ทน...เดินหน้าล่ารายชื่อ เพื่อปลด! “หมอหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เพราะความล้มเหลวในการจัดหาวัคซีนและบริหารพื้นที่รักษาคนป่วยโควิดฯ ผิดพลาดอย่างรุนแรง
จนมีคนติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นระดับ “2 พันอัพ” ในทุกๆ วัน อีกทั้งยังมีคนตาย...เพราะไม่มีสถานที่เพียงพอจะให้การรักษาพยาบายผู้ป่วยฯ
ทั้งหมดคือศึกภายในของพรรครัฐบาลทั้งสิ้น!
แม้จะมีกระแสข่าวหลุดออกมา...กับการจะดึงพรรคฝ่ายค้าน ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล มาร่วมรัฐบาล โดยเขี่ย 2 พรรคร่วมฯออกไป
กระนั้น ก็ถูกปฏิเสธจากพรรคเหล่านั้นกันแล้ว....
ตราบใดที่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ จะลาออก แล้วสรรหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยมีชื่อนายกรัฐมนตรี เป็นคนเดิม...
คงยากได้จะเห็นความร่วมมือจากพรรคการเมืองในประเทศไทย เพื่อหาทางออกให้กับคนไทยทั้งแผ่นดิน
การลาออกของนายกรัฐมนตรี เพื่อใช้เสียง ส.ส.และ ส.ว. สนับสนุนให้กับมานั่งเก้าอี้ตัวเดิมตามแผน...ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อย่างที่ใครบางคนสร้าง...ภาพฝันเอาไว้
ล่าสุด แกนนำกลุ่มไทยไม่ทน อย่าง...นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. ก็แพลมตัวบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็น “หัวหน้ารัฐบาลคนใหม่” ซึ่งเป็นคนที่มากบารมี ทั้งยังมากน้ำใจและรู้จักให้...
ถ้าใครคนนั้นมีอยู่จริง! และเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง! ในอนาคตอันใกล้...
จำเป็นจะต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก และปิดสวิทซ์ ส.ว. พร้อมคุมเสียงในสภาฯ เพื่อชี้ไปยังทิศทางเดียวกันในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ส่วนจะเป็นคนในกลุ่มรายชื่อที่แต่ละพรรคการเมือง เคยเสนอต่อ...คณะกรรมการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) หรือไม่? ถ้าใช่...จะเป็นใครที่มีคุณสมบัติ ตามที่ นายจุตพร ว่าเอาไว้?
ถ้าไม่ใช่...แล้วจะขัดกับรัฐธรรมนูญปี 2560 หรือไม่? หรือจะใช้ช่องทางพิเศษ ในการวางตัวหัวหน้ารัฐบาลคนใหม่แทน
ถึงตรงนี้...ต่อให้อยากจะยุบสภาฯ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ พล.อ.ประยุทธ์และพี่น้อง 3 ป. จะทำได้ง่ายๆ เหมือนที่เคยคิดจะทำ ที่ทำได้คือ...ลาออก เปิดทางให้คนใหม่เข้ามา
นั่นจึงกลายเป็นอาการ “จุกแน่นที่หน้าอก” เพราะจะอยู่ต่อก็ลำบาก ชิงยุบสภาฯ ก็ยาก ทางเดียวที่ทำได้ คือ..ลาออก เท่านั้น
ทุกอย่าง...ชะตาลิขิต ฟ้ากำหนด เอาไว้แล้ว
ขึ้นกับว่า...จะเร็วหรือช้าเท่านั้น!