ต้องด่า...ต้องกดดัน! รัฐบาลถึงตื่นตัว ปรับแผนยุทธศาสตร์จัดการปัญหาไวรัสโควิดฯ และจัดหาวัคซีนสู้โควิดฯ ในแบบ “เลิกล็อคสเปค” พร้อมเปิดกว้างให้ภาคเอกชนได้มีส่วนจัดหาในแบรนด์อื่นๆ แม้สังคมไทยเริ่มเห็น “แสงสว่างปลายอุโมงค์” แต่ต้องแลกกับปรากฏการณ์...วัวหายล้อมคอกและกว่าถั่วจะสุกงาต้องไหม้ไฟ เสียก่อน!
ปรากฏการณ์ “น้าค่อมเอฟเฟ็กต์” ก่อกระแสก่นด่า...แช่งชัก จากประชาชนทุกสาขาอาชีพอย่างรุนแรง! ถาโถมใส่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลของเขา เต็มๆ ทำนอง...
หากบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้ดี มีการวางแผนจัดหาจัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิดฯได้อย่างครอบคลุม ไม่โฟกัสไปแค่บางยี่ห้อ แล้วนำไปกระจายและแจกจ่าย ฉีดให้กับคนไทยอย่างทั่วถึง...แล้วล่ะก็
“น้าค่อม” ตลกอัจฉริยะ และคนไทยอีกหลายร้อยคน...คงไม่สังเวยความตายบนความสัพเพร่า และไร้วิสัยทัศน์ของรัฐบาลแน่!
แล้วยิ่ง องค์กรทางการแพทย์ระดับโลกและรัฐบาลของหลายๆ ชาติ ประกาศยกเลิก สั่งห้ามใช้...วัคซีนบางยี่ห้อ เพราะมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ได้รับการฉีดฯ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยในหลายๆ โรค และกลุ่มผู้สูงอายุ
2 ในนั้น มีวัคซีนตัวที่รัฐบาลไทย “ล็อกสเปค” เอาไว้...เพื่อหวังจะนำไปฉีดให้กับคนไทย
วัคซีนบางตัว? ที่ว่านี้...แม้แต่คนในรัฐบาลและบุคลากรทางการแพทย์เอง ยังไม่กล้าฉีด! เพราะกลัวตายจากผลข้างเคียงที่อาจมีตามมา
กลุ่มนักธุรกิจชั้นนำ ถึงกับประกาศไปยังรัฐบาล ช่วยเปิดเสรีให้มีการนำเข้าวัคซีนสู้โควิดฯ ไม่จำกัดเฉพาะยี่ห้อที่รัฐบาล “ล็อคสเปค” ได้หรือไม่? โดยเอกชนพร้อมลงขัน...ควักจ่ายเพื่อนำเข้ามาฉีดให้กับผู้บริหาร พนักงานและแรงงานในสังกัดของตนเอง
ทว่ารัฐบาล โดย ศบค. กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานในสังกัด ต่างสร้างเงื่อนไขต่างๆ นานา สุดท้าย...สรุปออกมาว่า “ไม่ควร” เพราะยังไม่ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เกรงจะเป็นอันตราย หากเปิดนำเข้าวัคซีนสู้โควิดฯ แบบเสรี...
ทั้งที่องค์กรทางการแพทย์ระดับโลกและรัฐบาลของหลายๆ ชาติ ต่างให้การรับรองและนำไปฉีดให้กับประชาชนของตนเอง...จนเกิดผลสัมฤทธิ์ในเชิงประจักษ์อย่างมากมาย แล้วก็ตาม
ไม่แปลก! ที่นักวิชาการและฝ่ายค้าน จะตั้งข้อสงสัย? งานนี้...รัฐบาลมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่? กับการ “ล็อคสเปค” วัคซีนสู้โควิดฯ ในช่วงที่ผ่านมาหรือไม่?
หนึ่งในนั้น มี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ออกมาตั้งสังเกตว่า รัฐบาลมีวาระซ่อนเร้น หรือมีผลประโยชน์แอบแฝงหรือไม่ และกลัวอะไรกับการที่เอกชนจะจัดหาวัคซีนฯ เพราะหากเร่งจัดการวัคซีนฯได้อย่างเพียงพอ อาจทำให้ผู้ติดเชื้อฯมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น รัฐบาลกลัวอะไรกับการที่เอกชนจะเข้ามาช่วยเหลือ หรือกลัวความจริงจะเปิดเผย จึงไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากภาคเอกชน
ล่าสุด รัฐบาลทนเสียงก่นด่าและกระแสกดดันไม่ไหว เริ่มจะผ่อนปรนให้มีการนำเข้าวัคซีนสู้โควิดฯ โดยภาคเอกชน และเปิดกว้างให้หลากหลายมากขึ้น เพียงแต่ยังตีกรอบ...สร้างเงื่อนไขให้ยุ่งยากเข้าไว้
พล.อ.ประยุทธ์ ที่สวมหมวกสำคัญๆ ไม่เฉพาะ...นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม แต่ยังมีหมวกเป็น...หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ผอ.สบค. และผู้ถืออำนาจรัฐสูงสุด ตามประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2564 ว่า...จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ตนได้ตัดสินใจเดินหน้า 3 แนวทางเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ดังนี้..
แนวทางแรก ต้องเพิ่มจำนวนวัคซีนของเราให้มากกว่านี้ จากที่ปัจจุบัน เราตั้งเป้าสั่งซื้อวัคซีนที่ 100 ล้านโดส ประเทศไทยควรต้องหาวัคซีนเพิ่มอีก ให้เป็น 150 ล้านโดส หรือมากกว่านั้นให้ได้ แม้ว่าบางส่วนอาจจะส่งมอบให้เราได้ในช่วงปีหน้าก็ตาม
แต่กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เราไม่ควรจัดหาวัคซีนฯด้วยเป้าหมายที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าภูมิคุ้มกันหมู่ภายในประเทศจะเกิดขึ้น เมื่อเราฉีดให้ประชาชนได้ 50 ล้านคน เราควรต้องมีวัคซีนให้เพียงพอสำหรับคนไทยทุกคน
ประเทศเรามีประชากรผู้ใหญ่ราว 60 ล้านคน และควรต้องมีวัคซีนเผื่อสำรองเอาไว้อีก เพราะทุกวันนี้ ทั่วโลกยังมีความไม่ชัดเจนว่า การสร้างภูมิคุ้มกันหมู่จากไวรัสตัวนี้ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตลอดจนคำถามอื่นๆ ที่ยังมีอยู่
เช่น หลังจากฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ประสิทธิภาพของวัคซีนจะคงอยู่ได้นานเท่าไหร่ และเรามีความจำเป็นต้องฉีดเข็มที่ 3 อีกหรือไม่ รวมทั้งเรื่องของการกลายพันธุ์
นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงที่วัคซีนอาจจะส่งมอบล่าช้า อย่างล่าสุด หลายประเทศชั้นนำของโลก มีการคาดการณ์กันว่า ในช่วงเวลานี้ จะได้รับส่งมอบวัคซีน เป็นจำนวนที่น้อยกว่าครึ่งนึงของจำนวนที่เขาสั่งไว้
แนวทางที่สอง ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งทำงานเชิงรุก! มากยิ่งขึ้น เพื่อให้การเจรจาสั่งซื้อวัคซีนของเรามีความคืบหน้าที่เร็วกว่านี้ ให้มีการเจรจากับผู้ผลิตหลายรายเพิ่มขึ้นอีก เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้วัคซีนฯเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ได้มีการเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนฯ จำนวนถึง 7 ราย และกำลังหาเจรจาเพิ่มอีก รวมถึงวัคซีนฯ ใหม่ๆ จากผู้ผลิตรายใหม่ๆ ด้วย แน่นอนว่า ในขณะที่ทั้งโลกยังคงแย่งกันสั่งซื้อวัคซีนให้กับประเทศของตัวเอง ทำให้การจัดหาและสั่งซื้อวัคซีนยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากอยู่ แต่เราจะต้องหาทางทำให้ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
เรื่องสุดท้าย ได้ตัดสินใจ...ปรับแนวทางการฉีด โดยเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนเข็มแรก หลังการหารืออย่างเข้มข้นกับผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยจะปรับมาให้ความสำคัญกับการเร่งฉีดวัคซีนฯเข็มแรกให้ประชาชนจำนวนมากที่สุด เท่าที่จะทำได้
เนื่องจากทางการแพทย์มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า หลังจากได้รับการฉีดวัคซีนฯ แม้แค่เพียงเข็มแรก ก็สามารถช่วยลดโอกาสในการรับเชื้อ ลดความรุนแรงของอาการ และลดโอกาสในการเสียชีวิตไปได้อย่างมาก
ดังนั้น เราต้องเร่งเครื่องเดินหน้าให้เร็ว ปูพรมฉีดวัคซีนเข็มแรกให้กับประชาชนจำนวนมากที่สุด ซึ่งจะทำให้ในช่วงประมาณปลายเดือนกรกฎาคม ประเทศไทยจะมีประชากรผู้ใหญ่ จำนวนครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ที่จะได้รับวัคซีนเข็มแรกและได้รับการปกป้องจากอันตรายของโควิด-19 แล้ว
และเป็นไปในระดับที่มากพอสมควร!
กว่า พล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาล และ ศบค. จะคลำหาทางออกที่เหมาะสมเจอ? เล่นเอาคนไทยใจหายใจคว่ำ! เหตุเพราะมีคนติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละวันเป็นจำนวนมาก แถมกระจายไปในหลายจังหวัดทั่วประเทศ และมีอัตราการตายที่สูงมากๆ
มากกว่านั้น...ทำให้ แผนการเปิดประเทศ “ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ” ในช่วงครึ่งหลังปี 2564 ต้องได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ส่งผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจของชาติ ที่คาดหวังจะดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 2 ล้านคนในปีนี้กลับมา...
หากการจัดวัคซีนฯ ทำได้ไม่ครอบคลุม แถมอัตราการติดเชื้อโควิดฯรายใหม่...เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในทุกๆ วันแล้ว นักท่องเที่ยวต่างชาติหน้าไหน? อยากเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย...
ถึงตอนนี้...รัฐบาลเปิดกว้างนำเข้าวัคซีนฯจากผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่ไม่ใช่...ซิโนแวค และแอสตร้า เซนเนก้า เหมือนเช่นแต่ก่อนแล้ว
อย่างน้อย...วัคซีนฯ ของไฟเซอร์ ตามที่มีกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ว่า...ผู้บริหารระดับสูงของเขา ได้ทำหนังสือติดต่อรัฐบาลไทยมาหลายครั้งหลายหน เพื่อเสนอตัวนำวัคซีนฯ มาฉีดให้คนไทย แต่ถูกปฏิเสธไปทุกครั้ง
มีโอกาสสูงมากที่รัฐบาลไทย และกระทรวงสาธารณสุขของไทย จะเปิดกว้างให้กับวัคซีนฯ ยี่ห้อใหม่ๆ ซึ่งถ้าฟังคำพูดข้างต้น...จากนายกรัฐมนตรีแล้ว หากไม่พูดหลอกลวงคนไทยล่ะก็ ไม่เพียงวัคซีนฯ ของไฟเซอร์ แต่ยี่ห้ออื่นๆ จากผู้ผลิตรายใหม่ ก็น่าจะถูกเปิดกว้าง นำมาฉีดให้กับคนไทย
นาทีนี้...มี 2 เรื่องที่รัฐบาลจำต้องดำเนินการไปพร้อมกัน
หนึ่ง...คือ วางแผนเชิงยุทธศาสตร์ จัดการปัญหาโควิดฯ และการนำเข้าวัคซีนฯ ให้เพียงพอและทันกับความต้องการของคนไทยเร็วที่สุด! เพราะแผนปฏิบัติการวัคซีนต่อสู้โควิดฯในรอบนี้...สำคัญอย่างที่สุด
อีกเรื่องที่จะต้องเร่งดำเนินการไปพร้อมกัน นั่นคือ...การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาปากท้องของประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิดฯ ซึ่งแน่นอนว่า...หากการจัดการปัญหาโควิดฯ และการนำเข้าวัคซีนฯ เป็นไปตามแผนการแล้ว ล่ะก็
ปมทางด้านเศรษฐกิจก็น่าจะผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง ซึ่งระหว่างนี้...รัฐบาลเตรียมอัดฉีดวงเงิน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่เหลือราว 2.4 แสนล้านบาท และบางส่วนจากเงินงบประมาณ ที่นายกรัฐมนตรีเคยระบุว่า...มีรวมกันเพื่อการนี้ ไม่ต่ำกว่า 3.8 แสนล้านบาท
เฉพาะมาตรการรัฐรอบใหม่ หลังเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิดฯระลอก 3 รัฐบาลวางแผนจะออก มาตรการระยะที่ 1 ช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน ผ่าน 3-4 โครงการ คือ เงินกู้ฉุกเฉินฯ ยืดหนี้ที่มีกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โครงการเราชนะ และม33เรารักกัน รวมถึง ลดผลกระทบค่าครองชีพให้ประชาชนและธุรกิจขนาดเล็ก เช่น ไฟฟ้าและประปา
ส่วนมาตรการระยะที่ 2 ช่วงเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม รัฐบาลจะออกมาตรการเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน หวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ผ่านโครงการ...เพิ่มเงินคนละ 200 บาทต่อเดือน นาน 6 เดือนให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและกลุ่มพิเศษที่ใช้เงินผ่านบัตรประชาชน
และให้เลือกระหว่าง...โครงการคนละครึ่ง กับโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ซึ่งยังรอรายละเอียดของโครงการฯ เนื่องจากยังมีเวลาให้ภาครัฐ ต้องเร่งดำเนินการกับโครงการในมาตรการระยะที่ 1 เสียก่อน...
อย่างน้อยที่สุด! วันนี้...คนไทยยังพอได้เห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” กันบ้างแล้ว...
เสียก็แต่...สิ่งที่รัฐบาลเพิ่งตื่นตัวและเตรียมจะดำเนินการนั้น เป็นไปในลักษณะ...วัวหายล้อมคอก! และ กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้!
จนแทบจะไม่ทันการ อย่างที่เห็นๆ กัน ก็เท่านั้น!