ท่าจะเอาไม่อยู่แล้วจริงๆ
กับวิกฤติสถานการณ์ไวรัสมรณะ “โควิด-19” ของประเทศไทยที่ในวันนี้กล่าวได้ว่าเดินมาสุดทางแล้วจริงๆ ด้วยยอดผู้ติดเชื้อ และเสียชีวิตที่ทะลักปรอทแตก จนรัฐบาล และ “ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (ศบค.)” เอาไม่อยู่แล้ว
เราไม่เคยเห็นโรงพยาบาลรัฐขึ้นป้ายหน้าห้องฉุกเฉินว่า “เกินศักยภาพ” ก็ได้เห็นแล้วที่ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ หรือภาพอันสลดหดหู่ที่แม่ท้องแก่ 7 เดือนติดโควิดอาการทรุดหนัก จนหมอต้องผ่าตัดเอาเด็กที่มีน้ำหนักตัวเพียง 1,000 กรัม ออกมาก่อนที่แม่จะสิ้นใจ ทิ้งลูกน้อยอีก 2 ชีวิตวัย 3-5 ขวบ ที่ร้องไห้ระงมโรงพยาบาลที่ต้องอยู่อย่างรันทด ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าแม่อีกแล้ว
ภาพที่จิตอาสา “กลุ่มเส้นด้าย” เข้าไปช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อคราวยายวัย 78 ปี ที่นอนเฝ้าลูกชายวัย 57 ที่เป็นโปลิโอและยังติดเชื้อโควิดด้วย และเป็นอีก 2 ชีวิตที่ต้องสังเวยไปกับความล้มเหลวของการเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลไทยเราวันนี้ หรือกรณีที่ลูกหลานของผู้ป่วยติดเชื้อโควิดที่เพิ่งสูญเสียภรรยาไปจากการติดเชื้อโควิดและเพิ่งประกอบพิธีฌาปนกิจศพไม่ทันข้ามวัน ตัวพ่อเริ่มมีอาการไข้จึงเรียกรถกู้ภัยมารับไปโรงพยาบาล แต่เมื่อกู้ภัยพาผู้ป่วยไปถึง รพ.ที่ตรวจพบเชื้อ กลับถูกไล่ให้กลับไปรักษาตัวยัง รพ.ที่ผู้ป่วยถือสิทธิ์อยู่ ซึ่งเมื่อรถกู้ภัยทำตามโดยพาคนไข้ย้อนกลับไปยัง รพ.ที่ว่า ก็กลับถูกไล่ให้ไปรักษายัง รพ.ที่ตรวจพบเชื้ออีก ซึ่งเมื่อย้อนกลับไปทาง รพ.แรกที่ว่า กลับพบว่า ห้องฉุกเฉินได้ปิดประตูไม่ยอมรับตัว พร้อมไล่ให้ไปโทรถาม 1330 แทน
สุดท้ายผู้ป่วยรายนี้ต้องสิ้นใจอย่างอนาถคารถกู้ภัยหน้าห้องฉุกเฉินนั่นเอง กลายเป็นภาพที่สลดหดหู่ที่นับวันมีแต่ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงระบบสาธารณสุขไทยวันนี้ได้เดินมาถึงทางตันแล้ว!!!
ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นับจากการะบาดระลอกใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ค.-มิ.ย. เป็นต้นมา ทุกฝ่ายต่างดาหน้าออกมาเรียกร้องขอให้รัฐ และ ศบค.เร่งนำเข้าและจัดสรรวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมาปูพรมฉีดให้ประชาชนโดยเร็ว เพราะเป็นหนทางสุดท้ายที่จะสกัดและยับยั้งเชื้อไวรัสมฤตยูที่ว่านี้ที่ดีที่สุด แต่การขับเคลื่อนมาตรการแก้ไขปัญหาของภาครัฐดูจะสวนกับทิศทางความต้องการของประชาชนชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า
ประชาชนคนไทยต่างต้องดิ้นรนช่วยเหลือกันเอง ต้องอาศัยบรรดาจิตอาสา-กู้ภัย เป็นที่พึ่งพิงมากกว่ากลไกของภาครัฐทั้งมวลที่มีอยู่ แต่กระนั้นนับวันยอดผู้ป่วยติดเชื้อยิ่งล้นทะลัก จนต้องหอบหิ้วกันออกมานอนรอหน้าห้องฉุกเฉิน ทางเดินและถึงขั้นที่เริ่มเห็นผู้คนทรุดกองตายกันข้างถนนหนทางกันมากขึ้นทุกขณ จนเริ่มจะกลายเป็นภาพความ “ชาชิน” กันแล้ว ขณะที่ผู้คนยังคงต้องขวนขวายวิ่งรอกหาแหล่งฉีดวัคซีนกันให้ควั่ก จนแทบจะพลิกแผ่นดินหากันแล้วในวันนี้
สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบริหารสถานการณ์โควิดของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี แทบจะเรียกได้ว่า เราเดินมาถึงการล่มสลายของระบบสาธารณสุขไทยโดยสิ้นเชิงแล้ววันนี้
น่าแปลก! ในชณะนี้รัฐและ ศบค. งัดมาตรการอันเข้มข้นในการประกาศ “ล็อคดาวน์” กำหนดและขยายพื้นที่ควบคุมพิเศษจาก 10 จังหวัด ขึ้นมาเป็น 13 และ 29 จังหวัดล่าสุดนั้น เรายังคงเห็นผู้คนที่ต้องขวนขวายวิ่งรอกหาแหล่งตรวจเชื้อที่มีอยู่น้อยนิด และโดยเฉพาะต้องไปเบียดเสียดชนิดแออัดยัดทะนานเพื่อรับฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ
ขณะที่จุดฉีดวัคซีน 25 จุดของสำนักอนามัยกรุงเทพฯ นั้น กลับหงอยเหงาจนกระทั่ง กทม. เตรียมสั่งปิดศูนย์ไปวันวานนั่นแหล่ะ นายกฯ และ ศบค.ถึงกุลีกุจอให้กรมควบคุมโรคและกรมการแพทย์เร่งจัดสรรวัคซีนมาให้ สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการบูรณาการการแก้ปัญหาวิกฤตโควิดของภาครัฐโดยสิ้นเชิง !
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เราเห็นจนชินตาในช่วงที่ประชาชนคนไทยต้องดิ้นรนช่วยเหลือตนเอง เพราะไม่อาจจะหวังพึ่งกลไกใดๆ จากภาครัฐได้นั้น เรากลับได้เห็นบรรดา “จิตอาสา” กลุ่มต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด รวมทั้งบรรดากู้ภัยและมูลนิธิต่างๆ โดดเข้ามาเติมเต็มในการลงไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างๆ อย่างล่าสุดที่มาดามแป้ง จัดตั้งศูนย์พักคอย 4 มุมเมือง พร้อมรับจิตอาสาเข้ามาร่วมขับเคลื่อน จนก่อให้เกิดคำถามว่า แล้วหน่วยงานรัฐที่ “แย่งซีน” กันเอาหน้าผุดสายด่วน หรือเบอร์ฉุกเฉิน จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนกันสารพัดหน่วยงานก่อนหน้านี้ “หายศีรษะ” กันไปไหนหรือ?
นี่ประเทศไทยต้องขับเคลื่อนกันด้วยจิตอาสากันแล้วหรือ?
หนักข้อเข้า ในท่ามกลางวิกฤติของประเทศที่กำลังล่มสลายจากมฤตยูไวรัสโควิดนั้น กลับไม่น่าเชื่อว่า นักการเมืองและข้าราชการประจำ ยังคงฉวยโอกาส “หากินบนซากศพ” หากินบนความย่อยยับของระบบเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังล่มสลายนี้ ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการล้วงตับเอารายชื่อ “ผี” เข้ามาสวมสิทธิ์ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนที่ศูนย์บางซื่อ ที่ถูกจับได้คาหนังคาเขานับเป็นพันๆ รายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุด ปอท.ได้รุกเข้าตรวจสอบข้อมูลขบวนการทุจริตฮุบโควตาวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ กับ พญ.มิ่งขวัญ วิชัยดิษฐ์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ฯ แล้ว
จากการตรวจสอบในเบื้องต้นนั้น พบว่า ขบวนการดังกล่าวอาศัยช่องโหว่จากการที่ค่ายมือถือค่ายหนึ่ง คือได้ส่งจิตอาสาเข้ามาประจำศูนย์เพื่อประสานการลงทุนทะเบียนผ่านค่ายมือถือร่วมกับศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ แต่กลับมีการฉวยโอกาสแก้ไขข้อมูลการจองฉีดวัคซีนล่วงหน้า โดยการสวมสิทธิ์เอาญาติพี่น้องและประชาชนโดยทั่วไปที่กำลังขวานขวายหาวัคซีนให้เข้ามาลงทะเบียนผ่านคนกลุ่มนี้ โดยมีการเรียกหัวคิวฉีดคนละ 500-1,500 บาท และมีการลงทะเบียนนัดเข้ามาฉีดมากกว่า 7,000 คน ในช่วงวันที่ 20 -31 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์จะตรวจพบความผิดปกติ และดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับขบวนการนี้ ที่พบว่า มีผู้เกี่ยวข้องมากกว่า 19 ราย
ส่วนจะสาวไปถึงต้นตอขบวนการหากินบนความทุกข์บยากของประชาชนคนไทยได้แค่ไหนนั้น คงต้องรอดูฝีมือของ ปอท.ที่กำลังไล่ล่าขบวนการนี้อยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่รัฐบาลยืนยัน นั่งยันว่า ได้เจรจาสั่งซื้อวัคซีนทางเลือกยี่ห้อนั้น ยี่ห้อนี้เพิ่มเติมไปแล้ว 20-30 ล้านโดส มีการโอ่ว่าได้สั่งซื้อไปตั้งแต่ปีมะโว้ และยังคงยืนยันกระทั่งวันนี้ว่า เรามีวัคซีนมีเพียงพอ แต่เมื่อเราได้รับวัคซีนบริจาค "ไฟเซอร์" 1.5 ล้านโดสจากสหรัฐ และแอสตร้าฯ อีก 4 แสนโดสจากอังกฤษ เรากลับได้ยินข่าวอันไม่พึงประสงค์ที่เหล่าบรรดา “ฝูงเหลือบ” พยายามเข้ามาสอดแทรกขอรับวัคซีนล็อตนี้ ที่แต่เดิมตั้งเปาหมายจะฉีดให้หมอ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้าที่ต้องรบราสงครามโควิดก่อนเป็นอันดับแรก แต่เอาเข้าใจนักรบด่านหน้าเหล่านี้ ก็ต้องแบ่งปันกันไปตามโควต้าที่ได้รับจัดสรร อย่างดีก็ได้มาแค่ 50-60%จากที่ขอไป
จนถึงวินาทีนี้ ผู้คนก็ยังเฝ้าจับตา กลัวว่าเสบียงกรัง (วัคซีน) ที่จะต้องส่งไปยังแนวหน้าจะถูกฝูงเหลือบ VIP- VVIP ทั้งหลายสวมรอยเข้ามาฉกไป เพราะพฤติกรรมการบริหารจัดการวัคซีนต้านโควิดตลอดช่วงที่ผ่านมา ที่รัฐปล่อยให้ประชาชนคนไทย และบุคคลากรทางการแพทย์ ต้องหอบหิ้วกันไปออกรบสู้กับสงครามไวรัสโควิดกันตามลำพังร่วมกับบรรดาจิตอาสาและกู้ภัยนั้น
มันคิดไปเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจาก ประเทศนี้ “ฝูงเหลือบ” ดอดเข้าไปแฝงหากินกันได้ทุกที่ไม่เว้นแม้แต่ค้าความตาย!