เมื่อความเชื่อมั่นทำลายตัวเอง! ปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา คงไม่พ้นวลีอมตะ You are what you do ถึงตอนนั้น ใครที่เคยทำอะไรเอาไว้กับคนบนแผ่นดินนี้ จะต้องชดใช้! “ความเชื่อมั่น” คือ สิ่งยึดเหนี่ยวคนไทยทุกภาคส่วนให้อยู่กับรัฐบาล ทว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ตั้งแต่การป้องกันดูแลรักษา...ก่อนและหลังการติดเชื้อโควิดฯ โดยเฉพาะบริหารจัดการวัคซีนต่อต้านโควิดฯ ของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่รวบอำนาจไว้กับตัวเอง ในฐานะประธาน ศบค. และผู้ถือกฎหมายพิเศษ อย่าง...พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตลอดช่วงเวลาของการแพร่ระบาดไวรัสโควิดฯ ไม่ได้ทำอะไรให้กับคนไทย ตั้งแต่ประชาชนระดับฐานราก ผู้ประกอบการรายย่อย รายเล็ก รายกลาง ไปจนถึงระดับเกือบใหญ่ เกิดความรู้เชื่อใจและมั่นใจในการรับมือกับสถานการณ์นี้สักเท่าใด? สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา หลังการแพร่ระบาดของโควิดฯ คือ มาตรการต่างๆ ที่รัฐมีออกมา ล้วนผลาญเงินงบประมาณและเงินกู้รวมๆ กันมากกว่า 1.5 ล้านล้านบาทไปแล้ว ประเทศชาติสูญเสียเงินจำนวนมหาศาล แต่ไวรัสโควิดฯยังระบาดรุนแรงขึ้นทุกวัน มีคนติดเชื้อรายใหม่และคนตายเพิ่มระดับวันละ 2 หมื่นคน และกว่า 200 คน ตามลำดับ สร้างสถิติใหม่ “นิวไฮ” อยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้...ได้ทำลาย “ความเชื่อมั่น” ของคนไทยไปทุกขณะ! ประเด็นต่อมา คือ ผลกระทบในทางเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจในระดับต่างๆ ล้วนได้รับผลกระทบจากนโยบายและมาตรการของรัฐ โดยเฉพาะการประกาศ “ล็อกดาวน์” หยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยไม่จำเป็นและขาดแผนรองรับที่ดีเพียงพอ แม้ล่าสุดจะมีการปลดล็อกบางส่วนก็ตาม ส่งผลกระทบต่อทั้งภาคธุรกิจและวิถีชีวิตของคนไทยอย่างมากมาย และขยายวงกว้างไปในทุกระดับ ขณะที่ยอดติดเชื้อโควิดฯ รายใหม่และยอดคนตาย...กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งว่า...นโยบายและมาตรการของรัฐช่วงที่ผ่านมา ไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้หลายคนในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็น...นักการเมืองฝ่ายค้าน นักวิชาการ นักธุรกิจ นายแบงก์ ฯลฯ แม้กระทั่งคนในอาชีพสื่อมวลชน มองว่า...นี่คือ ความล้มเหลวของรัฐบาลชุดนี้! จะมีก็เพียงกลุ่มคนไม่กี่ตระกูล ในไม่กี่ธุรกิจเท่านั้น ที่ได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ จึงไม่น่าแปลกใจ เหตุใด? ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดฯ และเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างรุนแรงลงทุกวัน จะมีกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในทางการเมือง ออกมาปลุกสารพัดม็อบ “ไล่รัฐบาล” แทบจะทุกวัน นายกรัฐมนตรี คนที่ไม่ได้โชว์ศักยภาพตัวเองมากนัก ในวันที่คนไทยอยากเห็น “ผู้นำ” ลงพื้นที่ไปเยี่ยมเยือนและบัญชาการในภาคสนาม ระหว่างการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิดฯ มากกว่าบริหารประเทศ และบริหารสถานการณ์เลวร้ายในแบบ “เวิร์กฟอร์มโฮม” ที่บ้านส่วนตัวในค่ายทหาร สิ่งนี้ ยิ่งทำลาย “ความเชื่อมั่น” ทั้งต่อรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีมากขึ้นหรือไม่ ถึงตรงนี้ คนส่วนใหญ่ของสังคมไทย อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง แม้จะต้องยอม “เปลี่ยนม้ากลางสนามรบ” ก็ตาม เพราะขืนปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงคนติดเชื้อโควิดฯ และคนตายจะเพิ่มสูงขึ้น หากแต่ระบบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศ จะได้รับความเสียหายจนยากจะเยียวยา สุดท้าย คนไทย ทั้งที่ป่วยและไม่ป่วยด้วยโรคโควิดฯ จะกลายเป็นคนที่มีอาการหวาดหวั่นและเครียดจากสารพัดปัญหามากที่สุดชาติหนึ่งของโลก อย่าคิดไปเองว่า...บ้านเมืองนี้ ไร้สิ้นซึ่งคนดีมีฝีมือ ที่จะมา “รับไม้ต่อ” ในการนำพาประเทศชาติและคนในชาติ รอดพ้นสถานการณ์วิกฤตในครั้งนี้ ในอดีต...เราก็มี “วีรบุรุษ” ผู้ที่คอยกอบกู้วิกฤตของชาติมาแล้วมากมาย อย่ายึดติด! กับข้ออ้างที่ว่า...จะไม่มีใครมารับไม้ต่อ เพียงเพราะลึกๆ กำลังหวาดหวั่นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมากับตัวเองและพวกพ้อง บนความผิดพลาดในการตัดสินใจเชิงนโยบายหรือไม่ เพราะท้ายที่สุด! วลี You are what you do หรือ “คุณทำอะไรไว้ ก็จะได้รับสิ่งนั้น” กลับคืนไป ย่อมเป็นอะไรที่ยากจะปฏิเสธได้ ไม่ช้าก็เร็ว...คนไทยจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง ที่เริ่มจากตัวผู้นำและรัฐบาล แล้วขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ จนยากจะคาดเดาปรากฏการณ์ในอนาคต