15 ปี...ต่อเนื่องจาก รปห.ปี 49 และ 57 ถึงปัจจุบัน ล้วนมีกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา จนกว่าบางอย่างจะหมดอายุไข เมื่อการต่อท่ออำนาจ ถูกคานด้วยการเมือง “น้อง – พี่” จึงอาจยอมแตกหัก!
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา!
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า...ความบังเอิญไม่มีในโลก ทุกอย่างล้วนมีที่มาและที่ไป โดยมี “กุศล” คือความดี(บุญ) และ “อกุศล” คือความไม่ดี (บาป) เป็นพลังงานขับเคลื่อนนับจากอดีต จนกระทั่งปัจจุบันและอนาคต
สำหรับการเมืองไทยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา นับแต่ปี 2549 – 2564 ก็เช่นกัน..
การมีตัวตนของ “รัฐบาลประยุทธ์” ล้วนเกิดจากต้นเหตุ...กรณีกลุ่มนายทหารที่ทำการยึดอำนาจ เมื่อ 19 กันยายน 2549
ต่อเนื่องถึงการปราบปรามอย่างรุนแรง ณ ย่านสามเหลี่ยมดินแดง ในช่วงเมษายน 2552 และการสลายการชุมนุมของ กลุ่ม “คนเสื้อแดง” ที่ย่านราชประสงค์ ในอีกหนึ่งปีต่อมา (2553) กระทั่งมีผู้บาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก
ทั้ง 2 เหตุการณ์เกิดขึ้นในยุคสมัย “รัฐบาลอภิสิทธ์” มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง
เป็น “รัฐบาลพลเรือน” ที่แนบแน่นอยู่กับกลุ่มนายทหาร ซึ่งมีอำนาจในกองทัพ และหลายคนได้รับการปูนบำเหน็จจากการสนับสนุนให้มีการทำ “รัฐประหาร” จนได้มีตำแหน่งในยุคต่อมา
การทำรัฐประหาร เมื่อ 22 พฤษภาคม 2557 ของ คสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ ผบ.ทบ. ในขณะนั้น ล้วนเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอดีต ย้อนไปไกลถึงปี 2549, 2552 และ 2553
ดังนั้น “รัฐบาลประยุทธ์ 2” ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อ 24 มีนาคม 2562 จึงหาใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด? ทุกอย่างล้วนมีที่มาที่ไป และเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในอดีตทั้งสิ้น
กลับสู่สถานการณ์ปัจจุบัน ความบาดหมางที่อาจพัฒนาไปไกลกว่านั้น ระหว่าง ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคฯ เป็นแกนนำ กับ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาล
สิ่งนี้...บางคนมองเสมือนเป็น “แรงส่ง” ที่บีบให้ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่าง “พี่น้อง 3 ป” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.ประยุทธ์ อาจไม่เหมือนเดิม
ในฐานะ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ท่าทีของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร ที่เคยถูกน้องๆ เปิดปฏิบัติการ “หักเหลี่ยม...ขบมุม...เฉือนคม” ในหลายๆ ครา อาจถึงคราวต้องแยกตัวออกมาจาก “น้องป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ และ “น้องตู่” พล.อ.ประยุทธ์
ขณะที่ “2 น้อง” ก็อาจต้องฝืนใจ...กระทำการบางสิ่งที่ขัดใจ “พี่ป้อม” เหตุเพราะพี่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่สร้างความอึดอัดใจเหมือนกับที่น้องๆ โดยเฉพาะในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 ที่มีผู้บาดเจ็บนับพันคน และมีผู้เสียชีวิตเกือบร้อยคน
คดีความจากวลี “ที่นี่ (แยกราชประสงค์) มีคนตาย” ยังคงตามหลอนหลอกน้องๆ ไปจนกว่าคดีความจะหมดอายุลง
จะเพราะเหตุนี้หรือไม่? จึงทำให้น้องๆ ต้องกระทำการ “ขัดใจพี่!” โดยคิดจะต่อ “ท่ออำนาจ” ต่อไปเรื่อยๆ แม้สิ่งนี้จะสร้างความไม่พอใจแก่บรรดา ส.ส.ที่ต้องแบกรับเสียงก่นด่าของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งได้สะท้อนออกมาให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์
ฝ่ายหนึ่ง...คิดจะ “ต่อท่ออำนาจ” อีกฝ่ายอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง เพื่อดึงเอา “หัวใจ” ของประชาชน กลับมาอยู่กับ ส.ส.และพรรคฯ
เรื่องราวระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และเครือข่ายสายตรง กับ พล.อ.ประวิตร และบรรดา ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐ จะพัฒนาไปสู่ปัญหาความขัดแย้ง จนต้อง “แตกหัก!” หรือจะเป็นไปในลักษณะ “ตบจูบ” เหมือนละครหลังข่าว อีกไม่นานก็คงได้เห็นกัน
แต่ยามนี้ เป็น พล.อ.ประยุทธ์และเครือข่ายสายตรง ที่ชิงความได้เปรียบจากความเป็นรัฐบาล ถืองบประมาณจำนวนมหาศาล สร้างภาพที่ไม่เคยคิดจะสร้างมาก่อน นั่นคือ...
การลงพื้นที่เข้าหาประชาชน!!!
จาก “ใบสั่ง” ก่อนหน้านี้...ให้ทุกหน่วยงานรัฐ รวมถึงกองทัพ ช่วยเหลือ ดูแล และเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนถึง คำสั่งให้ทุกหน่วยงาน ต้องลงพื้นที่และเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาน้ำท่วม
เป็นความต่อเนื่องที่สถานการณ์หนึ่งยังไม่จบ แต่ก็ต้องพบกับอีกสถานการณ์หนึ่ง ซึ่งเลวร้ายพอๆ กัน
แต่ความเลวร้ายนี้ กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นโอกาส หากหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ อย่าง... ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน และ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รวมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐอื่นๆ ในสังกัดกระทรวงการคลัง จะทำทุกวิถีทางเพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐบาล...
ถือว่า...เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยเฉพาะ 3 แบงก์รัฐหลัก ที่มีภารกิจ...ช่วยเหลือเกษตรกร, ช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยขึ้นมา และช่วยเหลือคนมีบ้านและคนที่อยากจะมีบ้านเป็นของตนเอง ต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างน่าประทับใจ
กลายเป็นผลงานของรัฐบาลไปเสียด้วย!
โดย ธ.ก.ส. เทเงินไปเพื่อภารกิจตอบโจทย์ของรัฐบาลไปแล้วกว่า...1 ล้านล้านบาท ช่วยเหลือครอบครัวเกษตกรนับล้านครัวเรือน
ขณะที่ ธนาคารออมสินเอง ก็เทเงินผ่านโครงการต่างๆ มากถึง 36 โครงการคิดเป็นเงินกว่า 2 แสนล้านบาท ช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้าและประชาชนได้มากกว่า 11 ล้านคน
ไม่ต่างจาก ธอส. ที่ก็เดินหน้าเปิดโอกาสให้คนไทยได้มีบ้านอยู่เป็นของตนเอง ขณะเดียวกัน ก็มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิดฯ ที่ทำให้รายได้ลดลงหรือสูญหายไป รวมถึงบ้านเมืองของลูกค้าประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในรอบนี้ ก็เทเงินผ่านสินเชื่อโครงการต่างๆ รวมกันมากถึงเกือบ 2 แสนล้านบาท เช่นกัน
นี่ยังไม่นับรวม การค้ำประกันสินเชื่อของ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ที่เฉพาะแค่ 9 เดือนเศษของปีนี้ บสย.ได้ค้ำประกันสินเชื่อไปแล้วกว่า 2 แสนล้านบาท และหากเทียบถึงการขับเคลื่อนในระบบเศรษฐกิจล่ะก็ ว่ากันว่า...จะมีมากกว่านี้ถึง 4.13 เท่า
หมายความว่า...เม็ดเงินค้ำประกันกว่า 2 แสนล้านบาท จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้มากถึง 8.33 แสนล้านบาททีเดียว!
ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาโควิดฯ รวมถึงคำสั่งที่ให้หน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะผู้บริหารและพนักงาน ต้องลงพื้นที่ช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม
2 สิ่งนี้...ล้วนเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับทางการเมือง เกี่ยวพันกับ น้องๆ “2 ป” ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะเคลมว่า...ไม่ต้องอาศัยเครือข่าย ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ ก็สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนและภาคธุรกิจได้
และได้ตรงจุดและชัดเจนยิ่งกว่าเสียอีก...
ภาพของการเมือง แทบจะแยกออกจากเรื่องเศรษฐกิจ ชีวิต และปากท้องของพี่น้องประชาชนได้ยากยิ่ง
ดูเหมือนว่าที่บางคน? ที่ได้รับการส่งต่ออำนาจจากยุค 19 กันยายน 2549 ถึง 22 พ.ค.2557 ต่อเนื่องถึงปัจจุบัน จะเริ่มรับรู้ประเด็นปัญหาที่แท้จริงของบ้านเมืองนี้กันแล้ว แต่จะรู้และทำแก้ไขเพื่อแก้ไขปัญหานี้โดยตรง หรือคิดแค่เพียงให้เรื่องราวที่ค้างคาใจ...กลายเป็นความวิตกกังวล หมดอายุแห่งคดีความลงเท่านั้น
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาล้วนๆ!!!