เหลือบไปเห็นข่าว “หมอวรงค์” หัวหน้าพรรคไทยภักดี ออกมาโอดครวญตีโพยตีพาย เรื่องที่ถูกบริษัทไทยคมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายไปกว่า 120 ล้าน จากการที่ตนเองและเครือข่ายออกมารณรงค์ให้ “ประชาชนคนไทย” ไปร่วมกันกู้ชาติ กอบกู้ดาวเทียมไทยคมจากกลุ่มทุนการเมือง
ขณะที่ก่อนหน้านี้ “หมอวรงค์” ก็เคยออกมาโพสต์โอดกรณีถูกบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์ยีฯ ฟ้องเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท จากการที่ออกมาทวงคืนไทยคม 7 และไทยคม 8 โดยอ้างว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในอดีตดอดไปให้ใบอนุญาตประเคนกลุ่มทุนต่างชาติชุบมือเปิบ ทั้งที่ควรเป็นระบบสัมปทานที่รัฐต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินและวงโคจรดาวเทียมนี้ ก่อนจะพาดพิงไปถึงผู้บริหารบริษัทเขาว่าอยู่เบื้องหลัง ทำให้ถูกฟ้องหัวเอา
ก่อนที่หมอคนดีจะโพสต์ตบท้าย โดยยังคงยืนยันถึงความบริสุทธิ์ใจ เรื่องการปกป้องประโยชน์ชาติ และไม่แปลกใจจริงๆ ที่มีพรรคการเมืองบางพรรค ส่งคนบางคนที่ใกล้ชิดนายทุนใหญ่มากๆ ลงมาคุมเลือกตั้งเอง เพราะถ้าพรรคไทยภักดีมีที่นั่งในสภา แม้จะเสียงเดียว เรื่องของนายทุนเอาเปรียบชาติ จะต้องถูกตีแผ่ในสภาอย่างแน่นอน
จนถึงวันนี้ บอกตามตรงว่าไม่แน่ใจว่า “หมอวรงค์” และเครือข่ายนักวิชาการทั้งหลายที่เคยออกโรงเรียกร้องทวงคืนไทยคม 7 และ 8 ก่อนหน้า จะเข้าใจใน “บริบท” ของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ปี 2553 (พ.ร.บ.กสทช.) และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้ง พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม ปี 2544 หรือไม่ว่า มันเป็นยังไง ส่งผลต่อระบบการให้สัมปทาน หรือออกใบอนุญาตประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ และโทรคมนาคม รวมทั้งดาวเทียมมากน้อยแค่ไหน?
พวกทั่นรู้กันหรือไม่ว่าประเทศไทยนั้นได้ “เปิดเสรีโทรคมนาคม” ตามข้อตกลง WTO มาตั้งแต่ปี 2549 โน้นแล้ว การเปลี่ยนผ่านและประกอบกิจการดิจิทัลทีวี และประกอบกิจการโทรคมนาคม 3G , 4G และ 5G ได้เปลี่ยนผ่านจากระบบสัมปทานไปเป็นระบบ “ใบอนุญาต” ที่ให้ตรงแก่ผู้ประกอบการ ไม่สามารถจะ “เซ็งลี้” ไปให้ใครอื่นประกอบกิจการแทนมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว
แล้วจะให้รัฐบาล และ กสทช. เอาอำนาจอะไรไปประเคนสัมปทาน “ไทยคม 7 และ 8” ให้ต้องไปอยู่ภายใต้ระบบสัมปทาน ยกทรัพย์สินให้แก่รัฐหรือกระทรวงดีอีเอสได้ กสทช. เขาจึงต้องออกใบอนุญาตประกอบกิจการดาวเทียมตรงไปยังบริษัทเอกชนที่ให้บริการอยู่ในเวลานั้น
และผู้ที่เสนอเรื่องนี้ไปนั้น ก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็ รมต.กระทรวงดีอีเอส ในอดีตนั่นแหล่ะ หาไม่งั้นป่านนี้ประเทศไทยถูก สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU ริบวงโคจรดาวเทียม ไทยคม 7 และ 8 ไปประเคนให้ประเทศอื่นๆ ไปแล้ว
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่นักวิชาการบางคนเข้าใจว่า วงจรดาวเทียมสื่อสารของชาติเป็นสมบัติของชาติ เป็นทรัพย์สินของประเทศนั้นท่านคงต้องย้อนกลับไปดูในช่วงที่ผ่านมานั้น กระทรวงดีอีเอส ได้ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติที่ว่าให้สมกับที่พวกท่านกำลังป่าวประกาศกึกก้องกันอยู่นี้หรือไม่
พวกท่านรู้หรือไม่ประเทศไทยเรานั้น เคยได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจด้านอวกาศ เพราะมีตำแหน่งดาวเทียมสื่อสารของชาติมากถึง 3 ดวงจาก 180 ดวงทั่วโลก เทียบเท่ามหาอำนาจยักษ์ทั้งหลายอย่างจีนและอินเดีย และเหนือกว่าประเทศอื่นใดในภูมิภาคนี้ เราเคยมีดาวเทียมสื่อสารไทยคม 3 ที่ขึ้นชื่อว่าใหญ่ และทันสมัยที่สุดในโลก (ตอนยิงปี 2540) และไทยคม 4-ไอพีสตาร์ ที่มีต้นทุนต่ำที่สุดกว่าดวงอื่นๆ ถึง 60 เท่า และมีรัศมีทำการครอบคลุมไปถึง 2 ใน 3 ของโลกที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
แต่เพราะความไม่เอาถ่านของกระทรวงดีอีเอส และรัฐบาลชุดใดไม่ทราบที่เอาแต่นั่งแถกเหงือกมากว่า 7 ปี แต่กลับไม่เคยทำอะไรเลย นอกจากสบถด่าประชาชนตนเอง และ “เผาบ้านไล่จับหนูตัวเดียว” จึงทำให้ไทยต้องสูญเสียศักยภาพด้านอวกาศไปเกือบทั้งหมด และเกือบจะถูกสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) ริบวงโคจรดาวเทียมที่เป็นสิทธิ์ของไทยไปให้ประเทศอื่นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ล่าสุด ในอีกไม่ถึงขวบปีข้างหน้านี้ วงโคจรดาวเทียมของไทยก็กำลังจะสิ้นสุดลงอีกแล้ว หากรัฐบาลและ กสทช. ยังไม่สามารถประมูลให้ใบอนุญาตให้ใครยิงดาวเทียมไป Parking ในตำแหน่งวงโคจรที่กำลังจะหมดลงได้ ก็จะถูก ITU ดึงไปให้ประเทศอื่นแทน อันเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่า วงโคจรดาวเทียมที่พวกท่านเข้าใจว่าเป็นทรัพย์สิน ทรัพย์สมบัติของชาติอะไรนั้น มันไม่มีจริง แต่มันพ่วงเอาไว้กับดาวเทียมสื่อสารของชาติด้วย
หากในระยะ 5-6 เดือนจากนี้ รัฐบาลและ กสทช.ชุดใหม่ ยังมะงุมมะงาหรา ไม่ตัดสินใจใดๆ ลงไปก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้เถอะว่าประเทศไทยจะถูกริบวงโคจรดาวเทียมไปแจกจ่ายประเทศอื่น ๆ แน่ ถึงเวลานั้นคงได้โยนขี้ โยนปี่โยนกลอง สาวไส้ขดกันหมดหยดติ๋งแน่
ใครกันแน่ทำให้เกิดกรณีค่าโง่ดาวเทียมขึ้นมา!!!
ส่วนที่ “หมอวรงค์” กำลังดิ้นพล่าน อ้อนขอโอกาส “ประชาชนคนไทย” ขอโอกาสให้ตัวแทนของพรรค (ก็ตัวหมอนั่นแหล่ะ) เบียดแทรกไปนั่งในสภาสักคนนั้น แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ครับ ว่าทั่นกำลังคิดอะไร? ก็แค่จะอาศัยใบบุญสภาเพื่อเป็นเกราะป้องกันตนเอง ยื้อคดีความต่างๆ ที่กำลังถูกทั้งบริษัทไทยคม และถูกบริษัทเอกชนฟ้องหัวเอา เพราะเอาข้อมูลมั่วตุ้มทั้งหลายไปโพนทะนาจนทำให้เขาเสียหายนั้นแหล่ะ
สำหรับประชาชนคนไทยนั้น คงจะ “ปูเสื่อรอ” ว่า หมอจะดิ้นหนีเอาตัวรอดจากคดีความ เพราะ “ปากพาจน” นี้อย่างไร?
แต่อย่าให้เห็นน่ะว่า แอบกุ๊กกิ๊กแอบไปเกี้ยเซี๊ยะเขาแบบสันดานดิบนักการเมืองขี้ฮ้อทั้งหลายน่ะ
สู้ ๆ ไปให้มันถึงกึ๋นหน่อยนะหมอวรงค์ เพราะ “หมอเหรียญทอง” แกเอาใจช่วยหมอฝุดๆ อยู่แล้ว!!!