การอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่ลงมติ ตาม ม.152 คือ บทละคร "โหมโรง" เพื่อรอทำศึกใหญ่ ในเดือน พ.ค.65 โดยจะมีการโหวต ตาม ม.151 ซึ่งตามคณิตศาสตร์การเมือง หากรัฐบาลได้เสียงน้อยกว่าฝ่ายค้าน นั่นคือ วาระสุดท้ายของ "บิ๊กตู่" บนเก้าอี้นายกฯ ท่ามกลาง สารพันปัญหา จู่ ๆ เกิดปรากฏการณ์ "พระราม-นางสีดา-ทศกัณฑ์" แทรกขึ้นมา
ภาพรวมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยไม่ลงมติ ตามมาตรา 152 ตลอดสองวันที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ. 2565 จบลงไปแบบไม่หวือหวา พรรคร่วมฝ่ายค้านนำโดย พรรคเพื่อไทย (พท.) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หน.พรรค พท. ค่อยๆ นวดไล่อภิปราย เงื่อนงำการบริหารของรัฐบาลไปทีละกระทรวง เน้นไปที่ปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยวาทกรรม "ของแพง พังทั้งแผ่นดิน" และ การแก้ปัญหาโรคระบาด โควิด-19
แน่นอนว่า "หมัดเด็ด หมัดน็อก" ไม่จำเป็นต้องรีบปล่อยในเวทีอภิปราย เมื่อศึกใหญ่ข้างหน้ารออยู่ คือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 ซึ่งจะชี้ชะตารัฐบาลด้วยการลงมติ ซึ่งเมื่อถึงตรงจุดนั้น เชื่อว่าฝ่ายค้านจะต้องปล่อยไม้ตายทีเด็ดขึ้นมาถล่มให้รัฐบาลพังพาบโดยไม่ปราณี
ดังนั้น การอภิปรายรอบนี้ จึงไม่ต่างจากการ "โหมโรง หยั่งเชิง" เรียกกระแส เต้นฟุตเวิร์ก ออกหมัดแย็บ ดูว่ารัฐบาลมีจุดอ่อนตรงไหน โดนแล้วออกอาการอะไรเป็นพิเศษ จะได้พุ่งเป้าถูกจุด พร้อมเก็บข้อมูล คำชี้แจง อธิบายของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องไว้เป็นหลักฐาน เพิ่มน้ำหนักในศึกซักฟอกครั้งต่อไป ที่คาดว่าจะมีขึ้นประมาณเดือน พ.ค.2565
ถอดรหัส การอภิปรายฯ นอกจาก ปัญหาเศรษฐกิจ และ โควิด-19 แล้ว ดูเหมือนว่า ปัญหาเหมืองทองอัครา , รถไฟฟ้าสายสีเขียว , ถุงมือยางจะเป็น ประเด็นร้อนแรง ที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ
ปมแรก เรื่อง "เหมืองทองอัครา" ซึ่ง บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด จากออสเตรเลีย ผู้ถือหุ้นใหญ่ บมจ.อัครา รีซอร์สเซส เจ้าของเหมืองแร่ทองคำชาตรี เสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเมื่อ 5 พ.ย.2560 โดยอ้าง Article 917 ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีไทยไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA)
โดยคิงส์เกต เรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทยเป็นเงิน 750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 22,500 ล้านบาท กรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 สั่งระงับการประกอบการกิจการเหมืองแร่ทองคำ เพื่อแก้ปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน
จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พท. ได้อภิปราย เมื่อวันที่ 17 ก.พ. ระบุว่า รัฐบาลได้ออกอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ 44 แปลง เนื้อที่ 397,227 ไร่ ให้กับ บมจ.อัครา รีซอร์สเซส แลกกับการให้ คิงส์เกต ถอนฟ้องรัฐบาลไทย เพราะที่ปรึกษากฎหมายประเมินว่า ไทยมีโอกาสแพ้คดี
ขณะ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ชี้แจงว่า การออกออกอาชญาบัตรพิเศษสำรวจแร่ทองคำดังกล่าว ไม่ได้เป็นการดำเนินการเพื่อแลกกับการถอนฟ้องในชั้นอนุญาโตตุลาการ แต่เป็นคำขอที่ค้างมาตั้งแต่ปี 2546 และ 2548 แล้ว อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลให้อาชญาบัตรสำรวจแร่ทองคำ กับ บมจ.อัคราฯ ซึ่งอาจนำไปสู่การออกประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่ทองคำในอนาคตนั้น ได้สร้างความกังวลใจให้กับภาคประชาชนอีกครั้ง
เพราะปมปัญหา ต้นตอ ของเรื่องนี้ สำนักข่าวอิศรา สรุปว่า "...ไม่สามารถสรุปได้ว่าความบกพร่องทางการรับรู้ของเด็กเกิดจากโลหะหนักหรือไม่ ต้องศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น ระบบการเรียนการสอนของโรงเรียน แต่ผลการศึกษาจากต่างประเทศ เช่น บังคลาเทศ พบว่า ระดับแมงกานีสและสารหนูมีผลต่อระดับสติปัญญาของเด็ก..."
ส่วนเรื่อง รถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นเจ้าของเรื่อง แต่ถูกตั้งป้อมค้านโดยพรรคภูมิใจไทย ก็ถูกฝ่ายค้าน นำขึ้นมาตีแผ่ ประจาน รอยปริร้าว ภายในพรรคร่วมรัฐบาล!!
รวมถึง การทุจริตถุงมือยาง ภายใต้ความรับผิดชอบ ของกระทรวงพาณิชย์ ที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เจ้ากระทรวง ตอบได้เพียงว่า ตนเป็นแค่ไปรษณีย์ ทำหน้าที่ส่งของเท่านั้น แต่ไม่มีอำนาจ ตรวจสอบว่า ถุงมือยางขนาด "บิ๊กล็อต" มันสูญหายไปได้อย่างไร ?
ทำได้แค่ลงโทษข้าราชการในองค์การคลังสินค้า (อคส.) ที่เป็นปลาซิวปลาสร้อย แต่ปลาตัวใหญ่ ที่เป็นตัวการ ไม่มีหลักฐาน สืบสาวไปถึง ได้แต่โยนเรื่องไปให้ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. ดำเนินการ ซึ่งก็ไม่รู้ว่า ต้องใช้เวลาอีกยาวนานขนาดไหน จะได้คำตอบ ??
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลุกขึ้นชี้แจงในการอภิปรายไมไว้วางใจเป็นคนแรก หลังจาก "หมอชลน่าน" น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ผู้นำฝ่ายค้าน ร่ายยาวเปิดประเด็นจบสิ้นลง โดย "บิ๊กตู่" อภิปรายด้วยน้ำเสียงรุนแรงตามสไตล์ ชี้แจง ทุกข้อหา โดยระบุว่า ปัญหาของแพง โรคระบาด มันเกิดขึ้นมาประดังพร้อมกัน รัฐบาลต้องแก้ทีละเปลาะ แต่ก็ผ่านมาได้ พร้อมยกทำนองว่า ตัวเองเป็น "พระราม" มีแค่สองมือ ไม่ใช่ 4 มือ หรือยี่สิบกร อย่าง พระนารายณ์ หรือ ทศกัณฑ์ ในมหากาพย์ "รามเกียรติ์"
แต่สองมือของพระราม มีคันธนู ที่พร้อมจะน้าวศรทำลายอริราชศัตรู ให้มอดม้วยได้เช่นกัน พร้อมจบประโยดเด็ดว่า "ขอบคุณฝ่ายค้าน ฉะนั้นต่างคนต่างเล่นคนละบทบาท ท่านให้ผมเป็นพระลักษณ์ พระราม แล้วท่านเป็นทศกัณฑ์ ดูหนังดูละคร ก็ขอให้ย้อนดูตัวคนเล่นละครด้วย ผมก็ถูกท่านดูอยู่ ดังนั้นทุกคนต้องดูตัวละครตัวอื่นด้วย มันถึงจะสำเร็จ ประเทศไทยใหญ่กว่ารามเกียรติ์เยอะ”
นายอนุทิน ชาญวีรกูร รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข หน.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถูกสื่อมวลชน ถามถึงประเด็นดังกล่าว กรณีที่ถ้า "บิ๊กตู่" ขอเป็น "พระราม" แล้ว นายอนุทิน อยากเป็นอะไร ในรามเกียรติ ในฐานะที่เป็น พรรคร่วมรัฐบาล และ ถูกมองว่า เป็นคนสนิทที่ใกล้ชิดกับนายกฯมากที่สุด
ซึ่งคำตอบ "เสี่ยหนู" ไม่ทำให้ สังคมผิดหวัง ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะว่า เขาอยากเป็น "นางสีดา"
เมื่อ นายกฯ เป็น "พระราม" อนุทิน อยากเป็น "นางสีดา" อีกฝ่ายสุดท้าย คือ ฝ่ายค้าน ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็น "ทศกัณฑ์" เจ้าเมืองลงกา ตัวร้ายที่สุด ในมหากาพย์ "รามเกียรติ์" ซึ่งต้องติดตามตอนจบว่า เราจะเห็นบท "พระรามแผงศร" ออกมาหรือไม่ ให้คอการเมืองไทยได้รู้จัก
ตัดกลับมาถึงเรื่องสำคัญ ที่มองข้ามไม่ได้ คือ ประเด็นร้อนความขัดแย้ง ในพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่าง สนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา กับ สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี ในฐานะ ผอ.พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งต้นสายปลายเหตุ เปิดเผยโดย สราวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรค พปชร. ได้เล่ารายละเอียดให้ "บิ๊กตู่" รับฟัง ระหว่างการอภิปรายในสภา
ที่สำคัญ ทั้งสองฝ่าย ทั้ง "สนธยา" และ "สุชาติ" ได้โพสต์เฟสบุ๊ค ตอบโต้กันอย่างรุนแรง ในโลกโซเชียล ถึงขนาดเปรียบเทียบกัน เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนตา ว่า เป็น "สุนัข และ "ผู้เลี้ยงสุนัข"
"สนธยา คุณปลื้ม" คือ บุตรชายคนโต "กำนันเป๊าะ" สมชาย คุณปลื้ม ผู้ยิ่งใหญ่ "เมืองชล" เป็นพี่ชายของ "อิทธิพล คุณปลื้ม" รมว.กระทรวงยุติธรรม ขณะที่ "เสี่ยเฮ้ง" สุชาติ ชมกลิ่น อดีต ส.ส.ชลบุรี รมว.แรงงาน ถือเป็นคนสนิทใกล้ชิด พล.อ.ประยุทธ์ มากที่สุดคนหนึ่งในคณะรัฐมนตรี
ดังนั้น ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะมาจากเรื่องอันใด จึงมี สำคัญที่ "บิ๊กตู่" จะมองข้ามไม่ได้ และกลายเป็นที่มาของคำว่า "เดี๋ยวพี่จัดการเอง"
ก็ต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด ชนิดกระพริบตาไม่ได้ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นกาวใจ สมานรอยร้าวของทั้งสองฝ่ายให้กลับมาแนบแน่นเหมือน เดิมเพื่อไม่ให้ความขัดแย้งบานปลาย กลายเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล ที่กำลังต้องการความสมานสามัคคี เพื่อให้เสถียรภาพมั่นคง รอรับศึกใหญ่รอบหน้า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่จะต้องชี้ขาดด้วยการลงมติ ตามมาตรา 151
ที่สำคัญอย่าลืมว่า ยังมี "หอกข้างแคร่" ของ "บิ๊กตู่" คือ กลุ่ม 21 ส.ส.ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ส่วนหนึ่ง 18 เสียง ย้ายเข้าไปสังกัดพรรคเศรษฐกิจใหม่ เรียบร้อยแล้ว พร้อมจะโหวตสวนไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตลอดเวลาที่มีโอกาสจากรอยแค้นที่ฝังลึกมานาน !!
ก็ต้องติดตามตอนจบของ มหากาพย์ "รามเกียรติ์" ภาคปัจจุบัน ที่มี "พลเอกประยุทธ์" ขอเล่นเป็นบทพระเอก ว่า จะมีไม้ตายทีเด็ด "พระรามแผลงศร” สยบ “ทศกัณฑ์ ” เจ้ากรุงลงกา อย่างพรรคร่วมฝ่ายค้านได้อย่างไร โดยมี อนุทิน ชาญวีรกูล ที่โวลั่นว่า สามารถรวบรวมเสียงได้ 260 เสียงอยู่ในกำมือ
โดยก่อนหน้านี้ “อนุทิน” เคยนำกระดาษ รวบรวมจำนวน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่พกติดตัวมาแสดงให้ “บิ๊กตู่” ดูว่ามี 260 เสียง พร้อมแจกแจงว่า แต่ละเสียงมีที่มาอย่างไร
อย่าลืมว่า พรรคภูมิใจไทย เคยสร้างไว้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือน ก.ย. 2564 สามารถหาเสียงสนับสนุน “อนุทิน-ศักดิ์สยาม” ได้ถึง 269 เสียง และมากกว่าเสียงที่โหวตให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในขณะนั้นด้วยซ้ำ!!
สำหรับจำนวนเสียง ส.ส.ในสภาฯ ปัจจุบันมี 475 คน เป็น ฝ่ายรัฐบาล 267 คน ฝ่ายค้าน 208 คน เสียงกึ่งหนึ่งขององค์ประชุมสภาฯ คือ 238 เสียง เมื่อหัก ส.ส.กลุ่มธรรมนัส ออกไป 21 เสียง ทำให้รัฐบาลเหลือเสียงในสภาฯ 246 เสียง เกินองค์ประชุมไม่ถึง 10 เสียง
ซึ่งถือว่าเป็น สถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยง อันตรายอย่างยิ่ง เป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ พร้อมพังพาบ ล้มหัวคะมำได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น บทบาทของ "อนุทิน ชาญวีรกูร" จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง ว่าจะขอเล่นเป็น "นางสีดา" ที่จะอยู่เคียงข้าง "พระรามตู่" ตลอดไปหรือไม่ ?? จึงเป็นประเด็นร้อนที่น่าติดตามอย่างยิ่ง !!