บรรดาคอการเมืองไทย กางปฏิทิน พร้อมกากบาท กำหนดวัน เวลา การเลือกตั้งครั้งใหญ่กันแล้ว ในช่วงปลายสุดท้ายของรัฐบาล และทันใดนั้นเอง ก็เกิดปรากฏการณ์ “คลิปหลุด” ออกมาใส่ร้ายป้ายสีกันต่างๆ นานา เหตุร้ายทั้งมวลต่างกระทบต่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” โดยตรง จึงต้องติดตามท่าทีของ “บิ๊กตู่” ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด จะแก้ปัญหาได้อย่างไร?
ช่วงปลายสุดท้ายของรัฐบาล ภายใต้การนำของ "บิ๊กตู่" พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่วันนี้ต่างเริ่มนับนิ้วถอยหลังกันแล้ว โดยเฉพาะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพลังประชารัฐ , ประชาธิปัตย์ , ภูมิใจไทย , ชาติไทยพัฒนา และ หรือพรรคเล็กอื่นๆ ซึ่งเมื่อร่วมจับมือจูบปากก่อตั้งรัฐบาลใหม่ ต่างก็รักใคร่กลมเกลียวกันดี แต่เมื่อยิ่งนานวัน ความรักเริ่มจืดจาง ด้วยผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว แก่งแย่งชิงดี อันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เป็น "สัจธรรม" ของการเมือง
ทุกฝ่ายต่างรอคอยการเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น หากไม่มีอุบัติเหตุใดไเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยุบสภา, วาระ 8 ปีของการนั่งเก้าอี้นายกฯ, อภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งจะเป็นการเลือกตั้งครั้งสำคัญ หลังจากประชาธิปไตยตกอยู่ใต้ อำนาจ "ท็อปบู๊ต" จากการรัฐประหารครั้งล่าสุด เมื่อ 8 ปีที่แล้ว จากรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" เมื่อ 22 พ.ค.2557
สำหรับการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ถ้าครบวาระ โดยไม่มีปรากฏการณ์อื่นใดแทรกซ้อน จะเกิดขึ้นในวันที่ 23 มี.ค.2566 คอการเมืองไทย หยิบปฏิทินจับปากกา กากบาทตัวแดง ณ วันเวลาดังกล่าว กันลืมได้เลย !
ตัดฉับกลับมาที่สถานการณ์การเมืองล่าสุดในปัจจุบัน จะเห็นว่า มีเรื่องฉาวเกิดขึ้นมากกมาย หลายกรณี หลายประเด็น แต่ที่กำลังได้รับความสนใจมาก คือคำว่า "จริยธรรม" เริ่มจาก ปารีณา ไกรคุปต์ ถูกคำสั่งประหารชีวิตทางการเมือง ด้วยข้อหารุกป่าสงวน โดนเขี่ยกระเด็นพ้นตำแหน่ง ส.ส.ราชบุรี และห้ามยุ่งเกี่ยวทางการเมือง
กรณีถัดมา "แรมโบ้" เสกสกล อัตถาวงศ์ ข้อหา "จริยธรรม" อีกเช่นกัน เมื่อเกิดคลิปเสียงสนทนากับ จุรีพร สินธุไพร เรียกเงิน 15 ล้านบาท แลกโควตาสลากกินแบ่งรัฐบาล ทำให้ "แรมโบ้" ในฐานะ ผช.รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะประธานอนุ กก.แก้ปัญหาสลากกินราคา ต้องจำใจลาออกจากทุกตำแหน่ง
ขณะที่ จุรีพร สินธุไพร ต้องเจอดาบสอง กรณีรับของขวัญ เป็นรับรองเท้ากุชชี่ และกระเป๋าหลุยส์ วิตตอง มูลค่ารวมเฉียดแสนบาท กลายเป็นปัญหา เป็นเจ้าหน้าที่รัฐรับผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท ส่อขัดประกาศ ป.ป.ช. เพิ่มความผิดอีกกระทง
ทั้ง "แรมโบ้" และ "จุรีพร" อยู่ในสังกัดพรรคพลังประชารัฐทั้งคู่ ซึ่งย่อมกระทบต่อ “บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ "พี่ใหญ่" ของ "พี่น้อง 3 ป." อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น และยังเชื่อมโยงไปถึง "น้องเล็ก" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เช่นกัน
ส่วนของ "แรมโบ้" แม้ได้ชิงลาออกจากทุกตำแหน่งทางการเมือง เพื่อปกป้อง "บิ๊กตู่" แต่ปัญหาไม่ได้หยุดเท่านั้น ในทางการเมืองยังกระทบไปถึงแผนดันพรรคสำรอง "รวมไทยสร้างชาติ" ที่ "เสกสกล" เป็นโต้โผต้องสะดุดหยุดลง หรือมีแนวโน้มอาจต้องล้มเลิกไปด้วยหรือไม่
เพราะบรรดาระดับ ”บิ๊กการเมือง” หลายคนพากันแสลง ตามกระแสข่าวที่มีชื่อ "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" อดีตที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พปชร. ที่ลาออกจากต้นสังกัดเดิมจะไปนั่งหน้าหน้าพรรค ยังไม่กล้าเข้าไปขับเคลื่อนพรรค
ซึ่ง "พีระพันธุ์" กล่าวสั้นๆ ถึงเส้นทางการเมืองในอนาคตว่า "ตอนนี้ยังไม่มี" ส่วนกระแสข่าวที่จะไปเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ "ไม่มีตอนนี้ ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไร"
อย่างไรก็ตาม กระแสความบาดหมางในพรรคพลังประชารัฐ ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อมีมือมืดออกมาปล่อยข่าว ความไม่ลงรอยกันในกลุ่ม "พี่น้อง 3 ป." โดยพยายามผลักดัน พล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นนายกฯ แทน พล.อ.ประยุทธ์ ทุกสถานการณ์ โดยมีการติดป้ายข้อความและภาพ พล.อ.ประวิตร อวยพรเทศกาลสงกรานต์ในหลายพื้นที่
มีการปล่อยข่าวโยงสถานการณ์ให้น่าเชื่อถือ หาก "บิ๊กตู่" ประสบอุบัติเหตุทางการเมือง อาทิ ไม่รอดการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือสภาไม่ผ่านกฎหมายสำคัญของรัฐบาล หลังเปิดสภาในวันที่ 22 พ.ค. ที่กำลังจะมาถึง หรือถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่า ไม่สามารถครองตำแหน่งนายกฯ ได้เกิน 8 ปี ที่จะครบในเดือน ส.ค.นี้
รวมทั้งกระแสข่าวบั่นทอนจิตใจ "น้องเล็ก" หลัง "พี่ใหญ่" มีดีลลับกับคนแดนไกล เพื่อเปลี่ยนขั้วรัฐบาล โดยมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย ลูกน้องคนสนิทของ หน.พรรคการเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นปรปักษ์กับ "นายกฯ" เป็นผู้เดินเกม ซึ่งแม้ล่าสุด "บิ๊กป้อม" จะออกมาปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริงก็ตาม ซึ่งกระแสข่าวเหล่านี้ อาจจะส่งผลให้ "บิ๊กตู่" เบื่อ และพอแล้วกับอำนาจการเมือง หลังครองอำนาจมาตั้งแต่ปี 2557
จะหันไปพึ่งบริการพรรคร่วมรัฐบาล "บิ๊กตู่" ก็ไม่สามารถกระทำได้เต็มที่ เพราะแต่ละพรรคก็มีสัญญาใจแค่ประคองรัฐบาลให้อยู่ครบ 4 ปี อีกด้านหนึ่งก็พร้อมจะหันมาเป็นคู่แข่งเมื่อถึงเวลาเลือกตั้ง
ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งโดนหนักกว่าเพื่อ หลังเจอข่าวฉาว รองหัวหน้าพรรค "หื่นกาม" จาก "ปริญญ์ พานิชภักดิ์" และยังไม่แน่ว่า คณะกรรมการบริหารพรรคที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรค ปชป. จะอยู่รอดไปถึงการเลือกตั้งสนามใหญ่ในอีก 11 เดือนข้างหน้าหรือไม่
นอกจาก "จุรินทร์" และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ ยังต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดัน ที่เชื่อว่าจะตามมาอีกหลายระลอก
โดยเฉพาะหัวหน้าพรรค ปชป. ถือเป็นส่วนสำคัญที่นำพา ปริญญ์ พานิชภักดิ์ ขึ้นมาเป็นรองหัวหน้าพรรค โดยไม่สกรีนและตรวจสอบประวัติอย่างรอบคอบ และยังยกเว้นข้อบังคับ ข้ามหัวบุคคลอื่นๆ ที่มีความอาวุโส กระทั่งภายหลังทำให้เกิดความเสียหายแก่พรรค
ล่าสุด วิทยา แก้วภราดัย อดีต รมว.สาธารณสุข อดีตรองหัวหน้าพรรค ปชป.และอดีต ส.ส.นครศรีธรรมราชหลายสมัย ได้ลาออกจากสมาชิกพรรค เพราะต้องการให้กรรมการบริหารพรรคแสดงความรับผิดชอบ และแสดงสปิริตกับเรื่องที่เกิดขึ้นให้มากกว่านี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามต่อไป จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ ในค่ายการเมืองเก่าแก่แห่งนี้ที่ถูกยกเป็น "สถาบัน"
กลับมาที่ "พล.อ.ประยุทธ์" หากสุดท้ายต้องเลือก พปชร. เป็นแบ็คอัพ ต่อสู้ในการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ต้องยอมรับว่า ภาพลักษณ์อาจไม่ "ป๊อปปูลาร์" เหมือนก่อน เพราะตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มีแต่ข่าวความขัดแย้ง และการแย่งชิงตำแหน่ง ประกอบกับนายกฯ เองก็ไม่ชัดเจนเปิดหน้าช่วยเหลือ พปชร.เท่าที่ควร และที่สำคัญวางตัวห่างไกลจาก ส.ส. ถือว่ามีส่วนทำให้ พปชร.เตี้ยลงมาทุกวัน
อีกทั้งในช่วงขาลงยังถูกอดีตคนเคยรักทยอยตีจาก และย้อนกลับมาท้าชนเป็นคู่แข่ง ตัดแต้มกันเอง รวมกับพรรคการเมืองอื่นๆ ในฝ่ายอนุรักษ์นิยมอีกด้วย
อย่างล่าสุด เมื่อวันที่ 20 เม.ย. พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ลูกน้องเก่าใน ครม. ในทีม "สี่กุมาร" นำโดย อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และอดีตผู้ก่อตั้งพรรค พปชร. โดยมีการนำกลุ่มนักการเมืองรุ่นเก่า อาทิ นิพิฐฎ์ อินทรสมบัติ, สุรนันท์ เวชชาชีวะ, สุพล ฟองงาม, วิเชียร เชาวลิต เปิดตัวประกาศความพร้อมเลือกตั้ง
พร้อมชู "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" อดีตรองนายกฯ ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตีปี๊บ จุดขายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ กระทุ้งจุดอ่อนรัฐบาลในขณะนี้
โดยงานดังกล่าว มีตัวแทนพรรคการเมืองมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง อาทิ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย รองหัวพรรคประชาธิปัตย์, นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา, นายเทวัญ ลิปตพัลลภ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา, นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี, นายอัศนี เชิดชัย และนางลินดา เชิดชัย ตัวแทนพรรคเพื่อชาติ และไฮไลต์สำคัญ คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย มางานนี้ด้วย
ขณะที่ด้านบนเวที เปิดตัวพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) ได้ส่ง "สุรนันทน์ เวชชาชีวะ" อดีตเลขาธิการนายกฯ ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการบริหารพรรค ออกมาถล่ม "บิ๊กตู่" ว่า สาเหตุที่กลับมาเล่นการเมืองเพราะรัฐบาลไม่สามารถจัดการระบบสาธารณสุขไทย ทำให้คนติดโควิด-19 ตายวันละ 100 คน รัฐบาลบริหารเศรษฐกิจแบบลักปิดลักเปิด ไม่มีแผนสำหรับวันนี้และอนาคตอยู่ไปวันๆ และการบริหารจัดการล้มเหลวของรัฐบาล
"บิ๊กตู่จึงไม่สามารถที่จะขออยู่ต่อไปเกิน 8 ปีได้ ผมเชื่อว่าถ้านายกฯ ประเทศไทยไม่ชื่อนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประเทศนี้ไปไม่รอด" สุรนันทน์ ประกาศท้าทาย
จึงเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อสอดคล้องกับสถานการณ์อันง่อนแง่นของ “พี่น้อง 3 ป.” รวมทั้งในพรรค พปชร. และภาพบริวารเป็นพิษ กำลังบีบกระดานให้ "บิ๊กตู่" เหลือทางเลือกน้อยลง
รวมทั้งอดีตคนเคยรัก กลับมาเป็นคู่แข่ง และตัดแต้มกันเอง จึงถึงเวลาที่ “บิ๊กตู่” จะต้องพึงตระหนัก และจะเดินหน้าแก้เกมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่มีความชัดเจน และชิงความได้เปรียบกลับคืนมา
ขณะที่ตัวเองยังนั่งมีอำนาจสูงสุด บนเก้าอี้ผู้นำรัฐบาลหมายเลขหนึ่งของประเทศไทย!