ฉับพลันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เรียกประชุมรัฐสภา สมัยประชุมสามัญ ประจำปี ครั้งที่ 2 ในวันที่ 1 พ.ย. ทำให้การเมืองไทย ร้อนฉ่าขึ้นมาอีกระลอกทันที เพราะจะกลายเป็น เวทีสภาเปิดให้ ส.ส.โชว์ลีลาหาเสียงทิ้งทวน ในปลายรัฐบาล
บรรดาคอการเมือง เชื่อว่า จะมีการขับเคี่ยวกันฝุ่นตลบอบอวลแน่ แม้จะไม่สามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ แต่รัฐธรรมนูญ ก็ยังเปิดช่องให้มีการเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ รวมทั้งการเสนอกระทู้ถามรัฐบาล เป็นอาวุธของฝ่ายค้านที่จะตรวจสอบฝ่ายบริหาร ซึ่งมันจะเป็นห้วงจังหวะของยุทธการเตะตัดขา เสียบสกัด กระตุกขารัฐบาล ไม่ให้ใช้ความได้เปรียบในการกุมอำนาจรัฐหาเสียงอยู่ฝ่ายเดียว โดยกลุ่มพรรคร่วมฝ่ายค้าน นำโดยพรรคเพื่อไทย ง้างหมัดรอล่วงหน้า จ่อเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ จ้องกระหน่ำปมการบริหารเศรษฐกิจ ความผิดพลาดในการบริหารจัดการน้ำท่วม ฯลฯ
เชื่อเหลือเกินว่า จะมีการขุดคุ้ย งัดประเด็นต่างๆ นานา มาด่าได้ทุกเรื่องแบบฟรีสไตล์ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ต้องดาหน้าประจาน ดิสเครดิต “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ลากปืนครกถล่ม ครม.เต็มอัตราศึก!
ตอกย้ำผลงานย่ำแย่ ฝีมือบริหารราชการแผ่นดินอันห่วยแตก ประทับภาพ “ปมด้อย” ของทีมผู้นำทหารเฒ่า และไม่ใช่แค่ฝ่ายค้านที่ต้องเตะตัดขา เสียบสกัด “บิ๊กตู่” เพราะแม้แต่ในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ยังส่อฟัดกันนัว ล่อกันอีนุงตุงนัง หมดเวลา “เพื่อนกิน” ได้เวลาแยกย้ายตัวใครตัวมัน
ภาพการเสียบสกัด เตะตัดขา ปาดหน้าแย่งกันชิงผลงานหาเสียงเลือกตั้ง โดยเฉพาะการยื้อยุดฉุดกระชาก ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จ่อเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2 และ 3 ท่ามกลางสัญญาณอาการปั่นป่วน ที่ลามต่อเนื่องมาจากการที่ประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอให้ถอนร่างกฎหมายกลับไปพิจารณาให้รอบคอบ โดยอ้างอิงกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มแพทย์ทั่วประเทศ ที่แสดงความห่วงใย กังวลผลกระทบจากกัญชา อาจทำให้ปัญหายาเสพติดแพร่กระจายในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนได้ง่าย
ภาพพจน์ประเทศไทย จะกลายเป็นดินแดนกัญชาเสรี และนั่นก็คล้อยตามกันกับท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ และแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ทั้งพลังประชารัฐ (พปชร.) พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) มองไปในมุมเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ตามเงื่อนไขสถานการณ์ ยังไปตรงกับจุดยืนของแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ขัดขวางกฎหมายกัญชาเสรีแบบเต็มกำลัง
แนวโน้ม พ.ร.บ.กัญชาฯ ฝ่าด่านสภาไม่ได้ง่ายๆ ส่อเค้าโดนยื้อ ดองไปจนหมดอายุสภาผู้แทนฯ แผนตีกินคะแนนของ “สายควัน” สะดุด ถึงขั้นที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย ส่งสัญญาณขู่ล่วงหน้า ถ้า พ.ร.บ.กัญชาฯ ไม่ผ่านสภา น่าจะมีปัญหาต่ออนาคตการร่วมรัฐบาล กดดัน วัดใจผู้นำ 3ป.กันอย่างตรงไปตรงมา ตามสภาพการณ์ที่ “เสี่ยหนู” มั่นอกมั่นใจในดุลอำนาจ ที่ถืออยู่ในกำมือ หลังจากใช้พลังดูดงูเห่า ต้อน ส.ส.เข้าคอกไว้จำนวนมาก มีผลต่อทั้ง “พล.อ.ประยุทธ์” และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ไม่ว่าจะ ป.ไหน ก็ไปต่อไม่ได้ ถ้าไม่มีพรรคภูมิใจไทยหนุน การใช้ดีลรัฐบาลล่วงหน้า แลกกับการหนุน พ.ร.บ.กัญชาฯ ก็ต้องลุ้นว่า “บิ๊กตู่” จะยอมถอย ปล่อยให้พรรคภูมิใจไทย โชว์ผลงานโบแดง หาเสียงกับ “สายควัน” หรือไม่? นี่คือมุมไฟต์บังคับของ พล.อ.ประยุทธ์ สูตรตายตัว ถ้าไปต่อก็อาศัยได้แค่ทีมพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิม คือ พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา และที่ขาดไม่ได้คือ ภูมิใจไทย
ล็อกคอขั้วเดิม เพิ่มเติมอาจแทรกด้วย พรรครวมไทยสร้างชาติ ทีมงาน “รวมไทยสร้างตู่” ดูตามทรง “บิ๊กตู่” ก็ต้องยอมโดนภูมิใจไทย ขี่คอเหมือนทุกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ “บิ๊กป้อม” ที่กำลังมีความหวังกับการสร้างปรากฏการณ์ “มิชชันอิมพอสสิเบิ้ล” ทำเรื่องเป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้ ลุ้นคั่วแคนดิเดตนายกฯ “ฮั้วข้ามขั้ว”
เมื่อมีการ “ทอดสะพาน” จากพรรคเพื่อไทย ลูกข่าย ทักษิณ ชินวัตร แบะท่าพร้อมผสมพันธุ์กับพลังประชารัฐ ตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งรอบหน้า แต่มีข้อแม้ ต้องตัด “บิ๊กตู่” ออกจากดีลอำนาจ ตั้งเงื่อนไข เขี่ย พล.อ.ประยุทธ์ ให้พ้นทางแค่คนเดียว ชูธง แห่ “พี่ใหญ่” ไล่ตะเพิด “น้องเล็ก” โดยข้อเสนอของนายห้างดูไบ คือการเชิด “บิ๊กป้อม” ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่ง ขุมอำนาจทหารเฒ่า 3ป. แทน “บิ๊กตู่” ชู “บิ๊กบราเธอร์” เป็นหัวขบวนตั้งรัฐบาลสูตรพิสดาร ได้จังหวะ “เสี้ยม” ตอกลิ่มแยก 2ป. ที่กำลังเกิดรอยร้าว
จากการขับเคี่ยว เบียด ปาดหน้า ชิงตั๋วนายกฯ รอบต่อไป ในอาการแบบที่ “บิ๊กตู่” พร้อมเดินหน้าลุยสุดซอย ไม่มีใส่เกียร์ถอย แม้จะเหลือเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้แค่ปี 2568 ลักลั่น ครึ่งๆ กลางๆ ไปต่อได้ แต่ไม่สุดทาง ทำให้พิมพ์เขียวอำนาจ ที่วางกันไว้ในบทเฉพาะกาล แผนใช้ “250 ส.ว.ลากตั้ง” หามขึ้นแท่นนายกฯ รอบสาม ที่ว่าชัวร์ๆ พลอยสะดุด รอยตะเข็บขนาดใหญ่ สร้างความคึกคักให้พวกที่แหงนคอรอต่อแถว มีความหวัง
โดยเฉพาะ พล.อ.ประวิตร ที่รอโดยสารรถไฟเที่ยวสุดท้าย มันถือเป็นโอกาสดีที่สุด ในสถานการณ์ได้ “ใจบันดาลแรง” มีลุ้นขึ้นแท่นผู้นำตัวจริงสมใจ ที่แน่ๆ ไม่ต้องรอลุ้นโปรโมชัน “นายกฯ คนละครึ่ง” เพราะถึงเวลาจริงก็ไม่อาจมั่นใจ ไม่มีหลักประกันได้ว่า “นายกฯ ครึ่งหลัง” จะได้ตามที่แบ่งสมบัติผลัดกันชมกับ “น้องเล็ก” หรือไม่? เพราะมันต้องถามตัวจ้องสอดแทรกอย่าง “เสี่ยหนู” ยอมหรือเปล่า ???
เอาเป็นว่า “ทักษิณ” เก๋าเกมมาก ที่เปิดสูตรร้อนโยนทุ่นรัฐบาลพลังประชารัฐ–เพื่อไทย มาล่อใจ ต่อให้ฉากหน้านิ่งยังไง ลึกๆ “บิ๊กป้อม” หวั่นไหวแน่นอน และตามรูปเกมมาถึงตอนนี้ สปอตไลต์ฉายส่องไปที่ พล.อ.ประวิตร ในฐานะ “ตัวช่วย” ของนายห้างดูไบ มีน้ำหนักมากกว่า “นอมินี” ในพรรคเพื่อไทยเสียด้วยซ้ำ นายกฯ ข้ามค่าย นอมินีข้ามขั้ว หมากเด็ดตัวจริง ประเมินจากขุมกำลัง สูตรร้อนๆ พรรคพลังประชารัฐ แท็กทีมพรรคเพื่อไทย รวมกับ “ส.ว.ลากตั้ง” สายตรง “บิ๊กบราเธอร์” ที่มีอยู่กว่า 150 คน
ทีมแห่ “พี่ใหญ่” หนาแน่นกว่าขบวนหาม “น้องเล็ก” ชัดเจน นั่นก็ไม่แปลก ถ้าจะได้เห็น “บิ๊กตู่” อพยพลูกข่ายสายตรงแหก ค่ายพลังประชารัฐ ไปปักหลักกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ค่าย กปปส. ที่ซ่องสุมกำลังเป็นฐานสำรองของ “น้องเล็ก”
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ จากกระแสสังคม โดยเฉพาะผลสำรวจคะแนนความนิยมจาก "นิด้าโพล" พบว่า มีเสียงหนุน ชูธง “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ มีคะแนนนำโด่ง “บิ๊กตู่” ขณะที่ “อุ๊งอิ๊ง” ได้อันดับสาม และ พรรคเพื่อไทย ยังเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนจะเลือกเป็นอันดับหนึ่ง
โดย “นิด้าโพล” หรือ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ทำการสำรวจความเห็นประชาชนชาว กทม. เรื่อง “คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคน กทม.” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 21-27 ตุลาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ครอบคลุมพื้นที่ 50 เขต กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้
พบว่า บุคคลที่ชาว กทม. จะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 20.40 ระบุว่าเป็น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เพราะเป็นคนมีความมุ่งมั่น มีความรู้ความสามารถ เป็นคนรุ่นใหม่ และชื่นชอบนโยบายของพรรคก้าวไกล
อันดับ 2 ร้อยละ 15.20 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะเป็นคนมีความซื่อสัตย์ ชื่นชอบผลงาน ทำให้บ้านเมืองสงบ และต้องการให้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง
อันดับ 3 ร้อยละ 14.10 ระบุว่าเป็น “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคนมีความรู้ความสามารถ และต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
โดยมี "คุณหญิงหน่อย" สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคไทยสร้างไทย ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พรรคสร้างอนาคตไทย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พรรคประชาธิปัตย์ อนุทิน ชาญวีรกูล ภูมิใจไทย ตามมาเป็นลำดับถัดไป
ในขณะที่ พรรคการเมือง ที่ คน กทม. จะเลือกให้เป็น ส.ส. แบบแบ่งเขต พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 28.50 ระบุว่าเป็น เพื่อไทย อันดับ 2 ร้อยละ 26.45 ก้าวไกล อันดับ 3 ร้อยละ 9.50 พลังประชารัฐ อันดับ 4 ร้อยละ 9.45 ประชาธิปัตย์ และ อันดับ 5 ร้อยละ 3.05 ชาติพัฒนากล้า
อย่างไรก็ตาม โพลก็คือโพล จะยึดเป็นข้อเท็จจริง เป๊ะๆ ไม่ได้ ซึ่งต้องรอผลเลือกตั้ง หลังจากพี่น้องประชาชนเข้าคูหา ว่าจะเลือก ใคร พรรคการเมืองใด อีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองให้ติดตามด้วยความลุ้นระทึก!