การเมืองโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง ทวีความเข้มข้น “พล.อ.ประวิตร” ตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ต่อสาย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” มาช่วยดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจ ชูนโยบาย “บัตรประชารัฐ” สู้เลือกตั้ง พร้อมนำ “อุตตม-สนธิรัตน์” กลับบ้านเก่าร่วมงานการเมือง
กระแสข่าว "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดดีลลับกับ "จอมยุทธ์กวง" สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานที่ปรึกษาพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) เพื่อผนึกกำลังทำงานการเมือง สู้ศึกเลือกตั้ง
กลายเป็นประเด็นร้อนแรง ที่คอการเมืองต่างตะแคงหูฟัง และจับจ้องอย่างตั้งใจ !
ภาพการพบกันของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ อุตตม สาวนายน หน.พรรคสร้างอนาคตไทย และ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย ที่ห้องอาหารหรู โรงแรมพูลแมน ซอยรางน้ำ ตอบรับข้อเท็จจริงดังกล่าว
สันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค พปชร. กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้วางแนวทางเอาไว้ว่า พปชร. จะเป็นพรรคก้าวข้ามความขัดแย้ง อีกทั้งบุคคลดังกล่าว ไม่ได้มีข้อด้อยอะไร โดยเฉพาะเป็นนักวิชาการ นักเศรษฐกิจ มีความตั้งใจที่จะมาช่วยกันดูแลบ้านเมือง ถ้าเป็นคนดีพรรคไม่เคยรังเกียจ ส่วนกลับมาจะอยู่ในตำแหน่งไหนแล้วแต่คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณา
สำหรับเบื้องหลัง "ดีลลับ" ครั้งนี้ ว่ากันว่า "บิ๊กป้อม" ตัดสินใจยกหูโทรหา "สมคิด" เพื่อให้มาดูแลนโยบายด้านเศรษฐกิจ หลังจาก "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์" ถอนตัวจาก พปชร. และท่ามกลางปรากฏการณ์ "ปาดหน้า" ระหว่าง พี่น้องสอง ป. "ประวิทย์-ประยุทธ์" ลงพื้นที่ทับซ้อนไล่เลี่ยกัน เพื่อหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้าย แม้ทั้งคู่จะออกมาปฏิเสธว่า ไม่มีความขัดแย้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ลดลง แต่กลับตอกย้ำการแข่งขันอันรุนแรงระหว่าง พปชร. และ รสทช. เพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีสมาชิกระดับแกนนำของ พปชร. ไหลเข้าไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รสทช.) ที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นการตกปลาในบ่อเพื่อน กระเทือนต่อสถานะอันแข็งแกร่งของ พปชร. และตัว ”บิ๊กป้อม” เอง
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับความจริงว่า ทั้ง "บิ๊กป้อม" และ "จอมยุทธ์กวง" ต่างเคยมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นมาก่อน เมื่อครั้ง ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลของ พปชร. หลังการเลือกตั้งปี 2562 โดยมี "บิ๊กตู่" เป็นนายกรัฐมนตรี
ครั้งนั้น ทีมเศรษฐกิจ นำโดย "สมคิด" รับหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี โดยมี "อุตตม" เป็น รมว.คลัง "สนธิรัตน์" นั่งเก้าอี้กระทรวงพลังงาน "สุวิทย์ เมษินทรีย์" รมว.การอุดมศึกษา ฯ และ "กอบศักดิ์ ฟูตระกูล" เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในนามทีม "สี่กุมาร"
บทบาทของ "สี่กุมาร" ทำงานเข้าตาประชาชน สร้างผลงานไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงการเริ่มต้นแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบาย “บัตรประชารัฐ” หรือ “บัตรคนจน” ที่กลั่นออกมาจากมันสมองของ “จอมยุทธ์กวง”
แต่ในที่สุด ต้องกัดฟันยกทีมลาออก หลังจากกลุ่มการเมืองใน พปชร. ต้องการเข้ามามีอำนาจด้วยการกดดัน ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรับคณะรัฐมนตรี และปิดตำนาน "สี่กุมาร" ลงในที่สุด พร้อมกับการลาออกของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ดังนั้น การกลับมา พปชร.อีกครั้งของ "อุตตม-สนธิรัตน์" ย่อมถูกจับตามอง ด้วยความไม่พอใจอย่างแน่นอน! แต่เมื่อเป็นความต้องการของ "บิ๊กป้อม" ที่ต้องการให้มาดูแลเรื่องนโยบายด้านเศรษฐกิจ ทุกคนคงได้แต่กัดฟัน พยักหน้า ยอมรับ หนึ่งนั้น มาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ทีมเศรษฐกิจ หนึ่งนั้นมาเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับทีมงานด้านการเมือง เพื่อสู้เลือกตั้ง ที่ว่ากันว่าจะเป็นการแข่งขันที่รุนแรงกว่าทุกครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายเพิ่มวงเงิน "บัตรประชารัฐ" 700 บาท ที่เป็นการคิกออฟนโยบายแรก จาก 104 นโยบาย ด้วยการสานต่อ "บัตรประชารัฐ" เพิ่มวงเงิน 700 บาทต่อเดือน จำนวน 19.6 ล้านราย เกทับนโยบายค่าแรง 600 บาทต่อวัน ของพรรคเพื่อไทย
ที่สำคัญ พรรคพลังประชารัฐ ประกาศหากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล "พล.อ.ประวิตร" เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เมื่อไหร่ พร้อมทำทันที ให้ “อยู่ดีกินดี มีเงินใช้ มีงานทำ” ขณะเดียวกันได้ประกาศ “พร้อมประสานกับทุกคน คุยกันได้ทุกพรรค” ภายใต้สโลแกน “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่”
ย้อนกลับมาที่ "สมคิด-อุตตม-สนธิรัตน์" หลังออกจาก พปชร. ก็ได้จับมือกันจัดตั้ง พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) โดยมี "สมคิด" เป็นประธานพรรค "อุตตม" เป็นหัวหน้าพรรค “สนธิรัตน์” เป็นเลขาธิการพรรค ส่วนอีกสองกุมาร "สุวิทย์ - กอบศักดิ์" ไม่กลับเข้าสู่วงการการเมือง ย้อนกลับไปทำอาชีพเดิม
แนวทางของสร้างอนาคตไทย ส่อว่าจะเดินไปยากกับรัฐธรรมนูญใหม่ ทั้ง "บัตรสองใบ" และ "สูตรหาร 100" ประกอบกับกระแสก็สร้างไม่ขึ้น ข่าวการรวมพรรคกับไทยสร้างไทยของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จึงเกิดขึ้นต่อเนื่อง มีการนัดเจรจากันหลายรอบ แต่ยังไม่ลงตัวเรื่องตำแหน่ง เรื่องผู้สมัครที่ทับซ้อนกัน รวมถึงกลุ่มทุนสนับสนุน
เมื่อจะเดินไปข้างหน้าก็เห็นแต่ป่ารกทึบ ถนนก็ขรุขระ แกนนำของสร้างอนาคตไทย ก็ต้องหาทางออก จึงเปิดดีลกับสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนากล้า ที่มี กรณ์ จาติกวณิช ทิ้งพรรคกล้า มารับเป็นหัวหน้าพรรค ดีลนี้มีปัญหาคล้ายๆกับดีลไทยสร้างไทย จึงยังไม่มีข้อยุติใดๆ กับการเมืองที่เดินมาใกล้เลือกตั้งเต็มทีแล้ว การเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามาแล้ว กับการจัดทัพที่ยังไม่ลงตัวของพรรคพลังประชารัฐ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถอนสมอออกไปร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มีคนส่วนหนึ่งไหลไปกับ พล.อ.ประยุทธ์ด้วย
ดีลใหม่กับ “ทีมสี่กุมาร” จึงเกิดขึ้นในสมองของ "บิ๊กป้อม" และเริ่มเป็นรูปธรรมมากขึ้น จนถึงขั้นต้องมานั่งเจรจาเอง แม้ดูโดยภาพรวมการเจรจาจะราบรื่น แต่เชื่อว่า แผลที่กลัดหนองในใจของ "สี่กุมาร" ยังมีอยู่ และยังเจ็บลึก ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะร่วมภารกิจไปได้แค่ไหน?
เมื่อกลุ่มทุนพรรคที่รวมหัวกันถีบ “กลุ่มสี่กุมาร” ออกไปจากพรรคครั้งที่แล้ว และกระเด็นพ้นตำแหน่งรัฐมนตรี ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในพรรค หรือว่านี้คือ “การเมืองไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร” จริงๆ
หรือว่าทีม “สี่กุมาร” ก็ยากที่จะเดินไปข้างหน้า เดินไปก็มีแต่จะเข้ารกเข้าพง มาเดินบนถนน "คอนกรีต" ดีกว่า แต่อย่าลืมว่า การทิ้งพรรคและพวกที่จัดตั้งไว้แล้ว วางตัวไว้แล้ว ที่พรรคสร้างอนาคตไทย ในทางการเมืองก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน !
ล่าสุด แกนนำระดับสูงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ระบุชัดเจนว่า ในวันจันทร์ที่ 30 มกราคม 2566 เวลา 15.00 น ณ. ที่ทำการพรรค พปชร. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. จะพบสื่อมวลชน เพื่อแนะนำ นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในโอกาสที่กลับเข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ
โดยในวันเดียวกันพรรค จะจัดกิจกรรมระดมทุน “พลังประชารัฐ ใจบันดาลแรง” ในรูปแบบดินเนอร์ทอร์ค โต๊ะละ 3 ล้านบาท จำนวน 150 โต๊ะ ที่ห้องบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ ชั้น 22 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และ บางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์
ซึ่งไฮไลต์จะอยู่ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะกล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ หลังจากนั้นจะมีการจัดเสวนาในหัวข้อ “Thailand in a spinning world - ประเทศไทยในวันที่โลกหมุนเร็ว” โดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ และ รศ.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ชื่อดัง
ปรากฏการณ์ทางการเมืองรอบนี้ ยังต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่า บทสรุปสุดท้ายจะลงเอยกันอย่างไร ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิม หรือว่าจะเกิดบทใหม่ขึ้นมา!