การเมือง “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ที่เคยรวมหัวจมท้าย ร่วมแย่งอำนาจกันมาครอง ที่สุด! ถึงคราจะต้องชิงกันขึ้นเป็นใหญ่ ทุกฝ่ายทำได้ทุกอย่าง...ไม่เว้นแม้กระทั่ง “ตกปลาในบ่อเพื่อน” ลามเลียสู่การ “แย่งเคลมนโยบายหาเสียง” ในคราเลือกตั้งครั้งใหม่ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้านี้
วลีฝรั่ง... Frenemy คือ สภาวะที่ “คน 2 ฝั่ง” เป็นได้ทั้ง...มิตรและศัตรูในเวลาเดียวกัน!!!
กล่าวคือ...เบื้องหน้ามีรอยยิ้ม เบื้องหลังซ่อนมีดคมกริบ...พร้อมเสียบ! หรือไม่...เบื้องหน้าสร้างศัตรู แต่เบื้องหลังแอบแตะมือรอร่วมตั้งรัฐบาลใหม่ด้วยกัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น!
สภาพการณ์เยี่ยงนี้...มิต่างสถานการณ์การเมืองไทยที่กำลังเข้มข้นในห้วงโค้งสุดท้ายของ “รัฐบาลลุงตู่ 2” หากไม่มีอะไรผิดพลาด...ต้น! ไม่เกินกลางเดือนหน้า คนไทยคงได้เห็นการประกาศยุบสภาของ “นายกรัฐมนตรี” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คืนอำนาจให้กับประชาชน กันอีกครั้ง
เรื่อง “นายกฯ 8 ปี” ไม่น่าจะมีปัญหาสำหรับชายคนที่ชื่อ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เพราะหากบรรดา “องคาพายพ” ในส่วนราชการ ฝ่ายการเมือง องค์กรอิสระ ฯลฯ...มิอาจสร้างกติกาใหม่ “ไม่จำกัดอายุนั่งเก้าอี้นายกฯ” ปูทางให้สำหรับคนๆ เดียว ได้ล่ะก็
ปรากฏการณ์ “นายกฯ คนละครึ่ง - หาร 2” แบ่งกันนั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศคนละ 2 ปี ตามอายุงานที่เหลือของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็อาจมีให้เห็นเป็นที่วิพากษ์กันอย่างสนุกปากของบรรดา “คอการเมือง” ทั้งในเมืองไทยและในต่างประเทศ...ทั่วโลก
อีกเรื่องที่ต้องทำคู่ขนานกันไปกับโปรเจ็กต์ “นายกฯ คนละครึ่ง - หาร 2” นั่นก็คือ...การใช้ “พลังดูด” ตกปลาจากในบ่อของเพื่อน ดึงเอา “ตัวเต็ง” นักการเมืองที่มีโอกาสหลุดรอดเข้าไปทำหน้า “ส.ส.ฝักถั่ว” คอยยกมือหนุน และทำหน้าที่เป็น “องครักษ์พิทักษ์นาย” ชนิดไม่จำกัดปริมาณกล้วยที่ขอหยิบยืมจากสวนของเจ้าสัวนายทุนการเมือง
กลับมาอีกรอบเมื่อใด? ก็พร้อมจะทูลคืนอภิมหาโปรเจ็กต์ของรัฐ ระดับหลายพันถึงหลายหมื่นล้านบาท กลับคืนไปให้...หรือไม่? ของเก่าที่เคยได้ไปก่อนหน้านี้ ก็ต้องผ่องจ่ายกลับคืนมา เพื่อใช้เป็นทุนเลือกตั้งรอบใหม่
การสร้างนโยบายการเมืองรองรับการเลือกตั้งก็เป็นอีกสิ่งสำคัญและจำเป็น ลำพังการตกปลาในบ่อเพื่อน และยกสวนกล้วยมาสร้างพลังดูดเพียงอย่าง...อาจไม่เพียงพอ จำเป็นที่แต่ละพรรคการเมืองจะต้องสร้างและมีนโยบายหาเสียง...เลือกเอาที่โดนใจชาวบ้าน ทำได้จริง เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม จับต้องได้
ยิ่งเป็นนโยบายที่เคยคิดและทำกันมาแล้ว โดนและถูกใจประชาชน...ยิ่งต้องสานต่อ และนำเอามาใช้เพื่อการหาเสียง
สำหรับยุคสมัยของ “รัฐบาลลุงตู่ 2” แล้ว มีหลายผลงานที่เกิดขึ้นและทำได้จริง จนเห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรม จับต้องได้ และโดนใจคนไทยหลายกลุ่ม...
หนึ่งในนั้น...มีเรื่อง “บัตรคนจน” หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่แม้จะถูก “คนเห็นต่าง” มองเป็นการกดทับคนไทย ด้วยการเพิ่มยอด “คนจน” ล้นเมือง สวนทางกับเรื่องที่เคยประกาศเอาไว้ว่า...อีกไม่ช้า “คนไทยจะหายจน” และ “คนจนจะหมดจากประเทศไทย”
เพราะเอาเข้าจริง! โครงการ “บัตรคนจน” กลายเป็นการเพิ่มยอดคนจนล้นเมือง จากเดิมที่ประเมินกันไว้ว่ามีคนจนในเมืองไทยแค่ระดับไม่ถึง 10 ล้านคนนั้น ผ่านมา 8 ปี ยอดคนจนทะลุกว่า 14 ล้านคน (ตัวเลข ณ ปลาย ก.พ.2566) ไปแล้ว
กระนั้น โครงการนี้...ก็จะถูกพรรคการเมือง “แกนหลักรัฐบาล” นำมาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้ง ไม่ต่างจากอีกโครงการที่ถือว่าทำได้ดีไม่ต่างกัน นั่นคือ การจัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน”
สำหรับโปรเจ็กต์นี้ ถือได้ว่า...ช่วยลดปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนของคนไทย ได้ดีกว่าหลายโครงการก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะโครงการพักหนี้สินให้กับคนไทยกลุ่มต่างๆ นั่นเพราะ...การพักหนี้ ไม่ได้ทำให้หนี้หายไป เพียงแค่ชะลอการจ่ายหนี้เท่านั้น
แต่กับการจัดงาน มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” นั้น กระทรวงการคลัง ภายใต้การนำของ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง และ นายชื่นชอบ คงอุดม กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการคลัง ที่ประกาศ “นำทัพ” บรรดาสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ หรือ “แบงก์รัฐ” มาร่วมจัดโปร...ลดแลกแจกแถม สนั่นเมือง!
เคลียร์หนี้เก่า ตัดได้ตัด ลดได้ลด เว้นได้เว้น ชะลอได้ชะลอ นำมาซึ่งการดึงเอาลูกหนี้ที่ส่วนใหญ่เป็น “รายย่อย” และผูกหนี้อยู่กับแบงก์รัฐ กลับมาเข้าสู่ระบบ ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ แต่ต้องเป็นลูกหนี้ที่ “วอล์คอิน” เดินเข้ามาร่วมในงานฯ ที่ จัดประเดิมในส่วนกลาง (เมืองทองธานี) ก่อนกระจายเป็น “งานสัญจร” ในอีก 4 ภาคทั่วไทย เริ่มจาก...กทม. – ขอนแก่น - เชียงใหม่ - ชลบุรี ปิดท้ายที่ หาดใหญ่ สงขลา
เคลียร์ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนรวมๆ กันไปแล้วกว่า 24,000 ล้านบาท จากจำนวนของผู้ที่เดินเข้ามาร่วมงานและติดต่อขอเคลียร์หนี้กว่า 34,000 รายการ
นี่ยังไม่นับรวม กลุ่มที่สานต่อขอเคลียร์กับแบงก์รัฐ ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งกระทรวงการคลัง...เปิดช่องทางให้ทำ เพื่ออำนวยประโยชน์กับคนทุกฝ่าย
งานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ซีซั่น 1 ที่จัดกันมา 5 ครั้งทั่วไทย ถือว่า...โดนใจบรรดาลูกหนี้รายย่อย ที่ส่วนใหญ่ต่างก็เป็น “ฐานเสียง” ในทางการเมือง ของพรรคการเมืองและนักเลือกตั้งกันอยู่แล้ว
แต่เพราะในห้วงนี้...ใกล้สู่โค้งเลือกตั้งการเมืองรอบใหม่ ทั้งรัฐบาลและพรรคแกนนำหลักฯ ต่างก็สงวนท่าที ไม่จัด ซีซั่น 2 ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ คงปล่อยให้บรรดาแบงก์รัฐเล่นกันเองไปก่อน นัยว่า...เกรงฝ่ายค้านจะหยิบเอามาเป็นประเด็นลบในทางการเมือง โจมตีหากมีโอกาสกลับมานั่งทำงานในทำเนียบรัฐบาลสมัยหน้า
กระนั้น “มิสเตอร์ M” หรือ นายชื่นชอบ คงอุดม ลูกชายคนโปรดของ “ชัช เตาปูน” หรือ นายชัชชาวล์ คงอุดม ผู้ที่คิดโปรเจ็กต์ “แก้หนี้ภาคครัวเรือน” นี้ขึ้นมา ก็ยืนยันว่า...แม้การจัดงานมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” ซีซั่น 2 อาจไม่ดังเปรี้ยงปร้างเหมือนซีซั่นแรก ที่ตน...เป็นตัวตั้งตัวตี ผลักดัน จนติดลมบน แต่ก็น่าจะได้รับการสานต่อจากแบงก์รัฐได้เป็นอย่างดีเช่นกัน
กระนั้น หากตนในฐานะสมาชิกของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่ได้ พล.อ.ประยุทธ์ สมัครเข้าเป็นสมาชิกของ รทสช.เช่นกัน ได้กลับมาเป็นรัฐบาล ก็พร้อมจะสานต่อโครงการดีๆ เช่นนี้ต่อไป
เมื่อถามว่า... ใครและพรรคการเมืองใด? จะใช้โครงการที่เกิดขึ้นในยุครัฐบาลพลังประชารัฐ (พปชร.) หาเสียงกับคนไทย? คำตอบที่ “มิสเตอร์ M” บอกไว้คือ...ได้ทั้ง พปชร. และ รทสช. เพราะต้องไม่ลืมว่า...หลายโครงการที่เกิดขึ้นมารัฐบาลชุดนี้ แม้จะมี พปชร. เป็นแกนหลักของรัฐบาล แต่คนเป็นนายกฯ ก็คือ สมาชิกของ รทสช.
ที่สำคัญกับงาน มหกรรมร่วมใจแก้หนี้ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน” นั้น ตนก็เป็นคนคิดและผลักดัน จนเกิดเป็นการจัดงานต่อเนื่องถึง 5 ครั้งทั่วประเทศ ลดปัญหาหนี้สินของประชาชนและภาคธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงให้คำปรึกษาปัญหาธุรกิจ และเติมเงินใหม่เข้าไป เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ได้มีสภาพคล่องในการดำเนินงานต่อไป
ดังนั้น ตนและ รทสช. ก็มีสิทธิที่จะหยิบโครงการเหล่านี้ มาใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ และหาก พปชร. จะนำไปใช้ในการหาเสียงบ้าง ก็คงไม่ผิดอะไร สามารถทำได้เช่นกัน
ถึงบรรทัดนี้...สภาพการณ์ของทั้ง พปชร.และ รทสช. ที่แกนนำระดับ “บิ๊กเบิ้ม” ของพรรคฯ ต่างก็เป็น...พี่น้องร่วม “3 ป.” กันมายาวนาน ครั้นจะบอกว่า...ยามนี้ สัมพันธภาพจะถึงขั้น “หักสะบั้น” กันไป หรือจะจูบปากเหมือนก่อนหน้าจะแยกไปสังกัดพรรคการเมืองใหม่...ก็คงยากจะคาดเดาได้
ปรากฏการณ์นี้...จึงคล้ายคลึงกับ วลีฝรั่ง Frenemy ที่ต่างก็เป็นได้ทั้งมิตรและศัตรูในเวลาเดียวกัน!
น่าสนใจว่า...Frenemy Game ในมือของ “2 ลุง” จะลงเอยกันอย่างไร? จะหันหน้า...รวมหัว...จับมือกันไปพลางๆ ก่อนหันมาทิ่มแทงกันเองในภายหลัง! หลังจากร่วมกันสกัดกั้นกระแส “แลนด์สไลด์” ของอีกฝั่งการเมืองได้แล้วหรือไม่?
อีกไม่ช้านาน...คนไทยและคอการเมืองจะได้เห็นกัน!!!