กลุ่ม KTIS เผยข้อมูลเบื้องต้นหลังเปิดรับอ้อยเข้าหีบถึงต้นเดือนมีนาคม 2566 ได้ผลผลิตอ้อยฤดูการผลิตปี 65/66 ของ 3 โรงงานรวมกว่า 6.2 ล้านตัน ผลิตน้ำตาลได้แล้วกว่า 7 ล้านกระสอบ ซึ่งสูงกว่าทั้งปี 64/65 ที่ได้อ้อยหลังปิดหีบรวม 6.2 ล้านตัน และน้ำตาล 6.4 ล้านกระสอบ ทั้งนี้ เป็นเพราะคุณภาพอ้อยและประสิทธิภาพในการผลิตน้ำตาลสูงขึ้น โดยค่าความหวานเฉลี่ยของอ้อยปีนี้ ล่าสุดอยู่ที่ 13 C.C.S. สูงกว่าปีก่อนที่ 12.1 C.C.S. คาดหลังปิดหีบจะได้อ้อยมากกว่าปีก่อน 10-15% มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้ดีกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน ด้วยปัจจัยหนุนทั้งปริมาณและราคาในทุกสายการผลิต ทั้งน้ำตาลทราย เอทานอล เยื่อกระดาษ ไฟฟ้า รวมไปถึงโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100%นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ กลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลผลผลิตอ้อยของกลุ่ม KTIS สำหรับฤดูการผลิตปี 2565/66 พบว่า มีอ้อยเข้าหีบแล้วกว่า 6.2 ล้านตัน ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่าผลผลิตอ้อยของฤดูการผลิตทั้งปี 2564/2565 ที่ 6.2 ล้านตัน“ที่น่ายินดีกว่าปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้น ก็คือคุณภาพอ้อยที่ดีขึ้นมาก โดยดูได้จากค่าความหวานปีนี้เฉลี่ยสูงถึง 13 C.C.S. ในขณะที่ปีก่อนเฉลี่ยเพียง 12.1 C.C.S. ทำให้ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อย (ยิลด์) ปีนี้สูงถึง 112.1 กิโลกรัมต่อตันอ้อย โดยผลผลิตอ้อยที่ 6.2 ล้านตัน เท่าๆ กับปีที่แล้ว สามารถผลิตน้ำตาลได้ถึง 7 ล้านกระสอบ เทียบกับปีก่อนได้น้ำตาลทรายเพียง 6.4 ล้านกระสอบ” นายสมชายกล่าวประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า ปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นเพราะมีปริมาณฝนมากกว่าปีก่อน และการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพ ประกอบกับสภาพอากาศที่เอื้อต่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพของอ้อย โดยคาดว่า โรงงานจะเปิดหีบไปถึงปลายเดือนมีนาคม 2566 ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลปีนี้มากกว่าปีก่อน 10-15%ทั้งนี้ ปริมาณอ้อยที่เพิ่มขึ้นในปีการผลิตนี้จะส่งผลดีต่อทุกสายธุรกิจ เพราะได้โมลาส หรือกากน้ำตาลไปผลิตเอทานอลมากขึ้น ได้ชานอ้อยไปป้อนให้โรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยมากขึ้นด้วย อีกทั้งราคาน้ำตาล ไฟฟ้า เอทานอล และเยื่อกระดาษ ก็ดีขึ้นกว่าปีก่อน จึงมั่นใจว่าปีนี้ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS จะดีขึ้นกว่าปีก่อนอย่างแน่นอนนายสมชาย กล่าวด้วยว่า ในปีนี้ บริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน ชาม กล่อง ถาดหลุม เป็นต้น และยังมีรายได้ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งจากโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 1 ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และกลุ่ม PTT ซึ่งมีโรงงานผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อย กำลังการผลิต 6 แสนลิตรต่อวัน และโรงไฟฟ้ากำลังการผลิตติดตั้งรวม 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 520 ตัน โดยมีสัญญาขายไฟฟ้า 30 เมกะวัตต์