คนไทยอมทุกข์และจมปรักอยู่กับความสิ้นหวังมาตลอด 8 ปีเศษ แต่ 4 ปีนับจากนี้ไป ก็ขอให้ “เป็นที...ของคนไทย” บ้างก็แล้วกัน! ถึงวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง คนไทยจะกำหนดชะตากรรมของตัวเอง
โปรเจ็กต์ ”แจกหนึ่งหมื่น” ให้กับคนไทยกว่า 55 ล้านคน ที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป เพื่อหวังจะกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติในระยะสั้น..ไม่เกิน 6 เดือน นับแต่ต้นปี 2567 ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย..กับงบประมาณที่จะต้องใช้มากถึงกว่า 5.5 แสนล้านบาท นั้น ถูกหลายฝ่ายโจมตีว่า..จะทำให้ระบบเศรษฐกิจของไทยล่มจม! เพราะรัฐบาลชุดใหม่ต้องกู้ยืมเงินเอามาใช้จ่ายกับภารกิจระดับบิ๊กเบิ้มเช่นนี้
คนวิจารณ์...โดยเฉพาะนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล นักวิชาการ และสื่อที่เปิดหน้าออกมาเชียร์บรรดาลุงๆ ทั้งหลาย คงจะลืมไปว่า...ศักยภาพในการหาเงินของพรรคการเมืองและนักการเมือง ระหว่าง...คนหัวเก่ากับคนหัวคิดทันสมัย (ขอยืม “วลีเด็ด” จากบริษัทเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่งมาใช้) ย่อมจะแตกต่างกัน
ฝ่ายหนึ่ง ถนัดกู้เงิน...กู้มาตลอด 8 ปี พร้อมกับปรับเพดานเงินกู้จากเดิมร้อยละ 60 ของจีดีพี มาเป็นร้อยละ 70 ของจีดีพี จนกลายเป็น “ภาพจำของคนไทย” จนยากจะลบเลือนไปจากความทรงจำได้
กับอีกฝ่าย ที่แม้จะยังไม่เด่นชัดนัก! ในเรื่องการหาเงินจากการเป็น รัฐบาลในอดีต (รัฐบาลยิ่งลักษณ์) เนื่องเพราะไม่ทันโชว์ฝีมือในการหาเงินเข้าประเทศ ก็ถูกบรรดา “ลุงๆ” ทั้ง “ลุงนักการเมืองข้างถนน” (ลุงกำนัน) และลุงที่สวมบทบาท “นายทหารใหญ่” อยู่ในเวลานั้น ร่วมกันสร้างทฤษฎี “สมคบคิด” ยึดอำนาจประชาชนกันไป
ทว่า ผลงานในอดีตกับชื่อเสียงของรัฐบาลเก่าๆ โดยเฉพาะ “รัฐบาลไทยรักไทย” ในยุค “ทักษิณ ชินวัตร” ย่อมการันตีได้ว่า...รัฐบาลหาเงินเข้าประเทศได้จริง!
แม้ว่า “แคนดิเดท” ของตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ทายาทการเมืองของพรรคไทยรักไทยในอดีต จะมีถึง 3 คน แต่นาทีนี้...คงไม่พ้นคนชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” ที่จะเข้ามารับไม่ต่อเป็น “นายกรัฐมนตรี ลำดับที่ 30” ในช่วงครึ่งปีหลัง 2566…
หากไม่ถูกตัดสิทธิ์และยุบพรรคกันไปเสียก่อน
ผลงานด้านธุรกิจในซีกอสังหาริมทรัพย์ กับธุรกิจของตระกูลในชื่อ “แสนศิริ” ย่อมประกันคุณภาพถึงวิสัยทัศน์ ประสบการณ์ ความรู้ความสามารถ คอนเน็กชั่น ทุนการเมือง ฯลฯ ที่เจ้าตัวสนใจงานการเมืองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา...ก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี
แนวคิดและนโยบาย “แจกเงินหมื่น” กับงบประมาณที่ต้องใช้มากถึงกว่า 5.5 แสนล้านบาท จึงไม่เกินความสามารถในการจัดหามาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายหลังจากได้เป็นรัฐบาล...
ที่จริง...ปมอันเป็น “ที่มา” ของเม็ดเงินที่พรรคเพื่อไทย หากได้เป็น “แกนหลัก” จัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่นั้น ได้ถูกนำมาพูดถึงและขยายผลกันมาหลายเวทีแล้ว อีกทั้งยังมีกลุ่มที่เห็นด้วยและคัดค้านนโยบายนี้ ต่างก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างดึงมี่อยู่
กระนั้นในมุมของ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” จึงต้องนำมาสรุปในแบบขมวดปมให้เห็นเด่นชัด เนื่องจากโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้จำนวน ส.ส.ในระดับ “แลนด์สไลด์” จากหลายๆ นโยบายที่มี โดยเฉพาะการ “แจกหนึ่งหมื่น” ที่ว่ากันว่า...น่าจะเป็น “ไม้เด็ด!” ดูดเอาคะแนนเสียงของผู้สนับสนุนได้เป็นจำนวนมากโขทีเดียว
เริ่มกันที่ เม็ดเงินก้อนใหญ่...จาก “งบกลาง” ในมือของนายกรัฐมนตรี ที่จะนำมาสำรองจ่ายเป็นช่วยเหลือฉุกเฉิน กรณีที่บ้านเมืองประสบปัญหาอันไม่คาดฝัน เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง แผ่นดินไหว ดินทลาย สึนามิถล่ม ฯลฯ
ในอดีต...แต่ละปี รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณก้อนนี้ อยู่ในระดับ 7-8 หมื่นล้านบาท กระทั่งมาถึงรัฐบาลยุคหลังๆ โดยเฉพาะสมัย “ทักษิณ ชินวัตร” ที่มีการตั้งงบกลางสูงเกินระดับ 1 แสนล้านบาทในปี 2545 โดยปรับเพิ่มจาก 8.7 หมื่นล้านบาทในปี 2544 (ปีแรกของรัฐบาลไทยรักไทย) มาเป็น 1.84 แสนล้านบาทในปีถัดมา หรือขยายตัวกว่า 2 เท่า (200%) และมีจัดสรรงบกลางเพิ่มสูงมาโดยตลอด ในรัฐบาลยุคหลัง
แต่ทว่าก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
กระทั่ง มาถึง “ยุครัฐบาลลุงตู่” ได้มีการจัดสรรงบกลางเอาไว้ในระดับที่สูงมากๆ เกินครึ่งล้านล้านบาท และสูงสุดของงบกลางนั้น ได้พุ่งทะยานไปจนถึงระดับ 6 แสนล้านบาท ซึ่งมากกว่างบประมาณรายจ่ายประจำปีของบางกระทรวงขนาดเล็กเสียอีก
ทว่าแผนการจัดการกับงบกลางของ พรรคเพื่อไทย กับ “ว่าที่นายกฯ เศรษฐา” นั้น งบประมาณที่จะถูกหั่นออกมาจาก งบกลาง ประเมินกันว่า...ก็น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนล้านบาท อีกก้อนที่ใหญ่ไม่แพ้กันหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ก็คือ การปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีในแต่ละปี ที่ช่วงหลังๆ ตั้งเอาไว้สูงมากกว่า 3.3 ล้านล้านบาท
ว่ากันว่า...หากรัฐบาลจัดสรรรงบประมาณส่วนนี้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ก็น่าประหยัดรายจ่ายในส่วนนี้ ได้มากถึง 2-3 แสนล้านบาท เช่นกัน
นี่ยังไม่นับรวม งบทางการทหารและการจัดซื้ออาวุธ ที่ทำเอาคนไทยพูดไม่ออก เพราะมันแน่นออกมาตลอด ตั้งแต่...การจัดซื้อจีที 200, บอลลูนทางการทหาร, เรือดำน้ำไร้เครื่องยนต์, เรือบรรทุกเครื่องบิน ที่ไม่ได้มีไว้เพื่อบรรทุกเครื่องบิน แต่เอาไว้ช่วยเหลืองานอุทกภัยให้กับประชาชน สารพัด...
นี่ก็น่าจะประหยัดงบประมาณแผ่นดินในระดับหลายพันถึงหลายหมื่นล้านบาทในแต่ละปีได้
รวมๆ หากไม่ใช่ก็ใกล้เคียงกับงบประมาณที่พรรคเพื่อไทยจะนำมาใช้เพื่อแจกจ่าย “คนละหมื่น” ให้กับคนไทยกว่า 55 ล้านคน
ตรงนี้...ประโยชน์ทางตรงและทางอ้อมที่จะมีกลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็น...เงินภาษี ทั้งส่วนที่ได้กลับคืนมาเลยจาก ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat 7%) ที่น่าจะอยู่ในระดับ 1.2-1.3 แสนล้านบาท ยังจะมีภาษีเงินได้ โดยเฉพาะในส่วนของ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ที่เชื่อกันว่า...ระดับหมื่นล้านบาท มีให้เห็นกันแน่ๆ
สำคัญกว่านั้น เม็ดเงินที่คนจำนวนกว่า 55 ล้านคน นำเอากลับไปใช้ในถิ่นเกิด รัศมีไม่เกิน 4 ก.ก. (ยกเว้นบางพื้นที่อาจขยายระยะห่างเพิ่มขึ้นได้) จากบ้านต้นกำเนิด จะไหลลงไปยังธุรกิจร้านรวงทั้งเล็กและใหญ่กันอย่างถ้วนหน้า
ภาพของการสั่งซื้อสินค้า ทั้งประเภทวัตถุดิบและสำเร็จรูป เพื่อรองรับความต้องการของผู้ซื้อในพื้นที่ จะมีให้เห็นกันสุดคึกคักแน่!
การกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกมิติ...ตลอด 6 เดือน นับแต่มีการประกาศใช้นโยบายดังกล่าว...ในทุกๆ พื้นที่ทั่วประเทศ จะดันให้ระบบเศรษฐกิจของไทย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 (ปีปฏิทิน) เติบโตจนดันเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังแบบ...พุ่งทะยาน และจะเป็นตัวฉุดให้เศรษฐกิจไทยและจีดีพีของไทยในปีต่อๆ ไป เติบโตไม่หยุดหย่อน
กับเป้าหมายการเติบของจีดีพีที่ระดับเฉลี่ยร้อยละ 5 ตลอด 4 ปี ของการเป็นรัฐบาลนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แน่นอนว่า...การปรับฐานค่าจ้างแรงงาน ระดับเงินเดือนของคนไทย ก็ย่อมจะถูกสานต่อในห้วงเวลาเดียวกัน
ทั้งหมดที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ฉายภาพให้เห็นพอเป็นสังเขป และเป็นไปในมุมมองของสื่อ ที่ยึดถือความเป็นถูกต้อง เป็นกลาง เป็นธรรม และเป็นไปได้จริง โดยไม่ยึดอิงกับพรรคการเมืองหรือนักการเมืองคนใด ก็น่าจะทำให้คนไทย พอจะมองเห็น “ภาพต่อ” ของการเมืองและระบบเศรษฐกิจไทยในอนาคตอันใกล้ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดนับจากนี้
อะไรที่เป็นของใหม่ จากความคิดใหม่ๆ ของ “คนหัวคิดทันสมัย” ย่อมต้องสร้างความแปลกใหม่ต่อคนไทยทั้งประเทศ
ที่ผ่านมา มีใครบางคน? ได้รับโอกาสนี้มาตลอด 8 ปีเศษ แต่กับไม่มีจิตนาการที่จะทำและขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวเดินไปอย่างที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะกับการบริหารจัดการ “งบกลาง” ที่ถือในมือรวมกันตลอดหลายปี... ไม่ต่ำกว่า 4 ล้านล้านบาท แต่กลับไม่อาจนำมารังสรรค์และสร้างพลังบวกในการขับเคลื่อนประเทศไทยและเศรษฐกิจไทย ให้ก้าวเดินไปข้างหน้าได้
กระทั่ง วันนี้...มีพรรคการเมืองและนักการเมือง ประกาศจะทำให้สิ่งที่พรรคการเมืองและนักการเมืองอื่นๆ มองไม่เห็น หรือเห็นแต่ไม่ทำ หรือทำแต่ทำไม่เป็นและทำไม่ได้
หากดีจริง...ก็ต้องเชียร์กันไป มิใช่หรือ?
ที่ผ่านมา คนไทยอมทุกข์...จมปรักอยู่กับความสิ้นหวังมาตลอด 8 ปีเศษแล้ว แต่จาก 4 ปีนับจากนี้...ขอให้ “เป็นที...ของคนไทย” บ้างก็แล้วกันนะจ๊ะ!!!