เหลือบไปเห็นเรื่องที่ฝ่ายบริหาร บมจ.ปตท.จำกัด (มหาชน) ออกมาตอบโต้ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวไกล และแกนนำพรรคก้าวไกล (กก.) อีกหลายต่อหลายคนที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งจ่อเข้าวินเป็นแกนนำจัดตั้งนำรัฐบาลอยู่เวลานี้
หลังจากที่ดาหน้าออกมานำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาพลังงาน และค่าไฟฟ้าสุดแพงมหาโหด โดยระบุสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง เพราะรัฐบาลมัวเอาใจนายทุนพลังงาน ยกตัวอย่างเรื่องของ LNG ที่ใช้ผลิตไฟฟ้า กระทรวงพลังงานกลับเอาของถูกไปให้อุตสาหกรรมปิโตรเคมี แต่เอาของแพงให้ประชาชน หากพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะเข้าไปรื้อโครงสร้างพลังงาน จะมีการจัดสรรก๊าซให้เหมาะสมขึ้นในระยะยาว รวมทั้งในอนาคตยังจะเปิดให้ประชาชนสามารถซื้อ-ขายไฟจากผู้ผลิตโดยตรงได้
ขณะที่ ปตท. ได้ออกมาตอบโต้ทันควันว่า ราคาก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าและวัตถุดิบของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใช้ต้นทุนราคาเนื้อก๊าซเดียวกัน และไม่ได้ขายถูกหรือแพงกว่ากัน ทั้งไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าไฟแพงแต่อย่างใด การจัดสรรก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยไปให้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คิดเป็นสัดส่วนเพียง 20% เท่านั้น และใช้ในภาคอุตสาหกรรมขนส่งและครัวเรือนประมาณ 30% ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า 50%
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปริมาณความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อผลิตไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับยืนยัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นอุตสาหกรรมหลักในการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยกลุ่ม ปตท. ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับก๊าซธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด แทนการนำไปเผาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว “อุตสาหกรรมปิโตรเคมีก่อให้เกิดการจ้างงาน ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์ รวมทั้งเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออกในอุตสาหกรรมต่อเนื่องอื่นๆ ของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน โดยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ถึง 10-25 เท่า หรือคิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาทต่อปี”
ฟังคำชี้แจงของ ปตท. ข้างต้นแล้วก็ให้น่าคิด ถ้าเกิดรัฐบาลใหม่จะเพื่อไทย หรือก้าวไกล (เกินจินตนาการ) ลุกขึ้นมาฟ้อนเงี้ยวรื้อโครงสร้างพลังงานใหม่ตามกระแส โดยประเคนก๊าซธรรมชาติที่ได้จากอ่าวไทย หรือที่นำเข้า (LNG) ไปให้แก่โรงไฟฟ้าเพื่อผลิตไฟฟ้าเป็นหลักก่อน มันจะไม่ยุ่งขิงยิ่งกว่านี้หรือ?
จะไม่เป็นนโยบายเรียกแขกให้งานเข้า ถูก “ทัวร์ลง” เป็นรายวันว่า ดำเนินนโยบายเอื้อนายทุนพรรคยิ่งกว่าหรือ? เพราะผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ในประเทศวันนี้ ก็มีอยู่ไม่กี่รายไม่ใช่หรือ? จะไม่ยิ่งกว่านโยบายเรียกแขกให้งานเข้าเชิญชวน “ทัวร์ลง” หรืออย่างไร?
การเอาก๊าซธรรมชาติทั้งที่ขุดได้ หรือนำเข้าไปผลิตไฟฟ้าเป็นหลักนั้น ยังเป็นนโยบายที่น่าจะเรียกว่ายิ่งกว่า เอา “ไม้สักไปเผาทำฟืน” เสียอีก เพราะก๊าซธรรมชาตินั้นคือวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเม็ดพลาสติก เส้นใยพลาสติกโพลีเอทิลีน เพื่อใช้ผลิตเส้นใยพลาสติก และผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งปุ๋ยเคมี ถือเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญ
ขณะที่เม็ดพลาสติกนั้น ยังสามารถไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมอีกไม่รู้กี่ประเภท ทั้งชิ้นส่วนรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ ของใช้รอบตัว มองไปตรงไหนก็พลาสติกทั้งนั้น เส้นใยโพลีเอสเตอร์ ใช้ในสิ่งทอหลากหลายรวมทั้งก่อสร้าง ถือเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สามารถสร้าง Value Added ให้แก่อุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เป็นฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหลักของประเทศเลยก็ว่าได้ แล้วจะเอาไปเผาเป็นเชื้อเพลิงทิ้งไปวัน ๆ ที่ไม่ต่างไปจากเผาไม้สักทำฟืนกันอย่างนั้นหรือ ?
ที่สำคัญ ต่อให้ปฏิรูปพลังงานจัดสรรก๊าซให้แก่โรงไฟฟ้าไปทั้งหมด ก็ไม่รู้ว่าค่าไฟจะถูกลงได้จริงหรือเปล่า? ก็ดูอย่างราคาน้ำมันในบ้านเรานั่นปะไร แม้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลไปตั้งแต่ปีมะโว้ เหลือแค่ 70-72 ดอลลาร์ต่อบารเรลเท่านั้นในเวลานี้ ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในบ้านเรามันควรจะต่ำกว่าลิตรละ 30 บาท มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งเบนซินและดีเซล
ที่ไหนได้ บริษัทน้ำมัน ผู้ค้าน้ำมันในประเทศ รวมทั้งโรงกลั่นน้ำมันในบ้านเรา กลับสุมหัวโขกค่าการตลาดกันมันมือ ไปถึงลิตรละตั้ง 4 บาทเศษ สูงที่สุดนับตั้งแต่ประเทศไทยรู้จักกับน้ำมันมาเลยก็ว่าได้ ทั้งที่ปกตินั้นค่าการตลาดลิตละ 1-2 บาทก็หรูแล้ว เคยลงไปถึงลิตรละ 50 สตางค์ - 1 บาท ก็เคยมีมาแล้ว หรือเฉลี่ยกันแค่ลิตรละ 1.50 บาทนั้น บริษัทน้ำมันก็กำรี้กำไรอู้ฟู่อยู่ได้สบาย ๆ แล้ว แต่นี่กลับฟันไปถึงลิตรละ 4 บาทเศษ ไม่เรียกว่า “ปล้นสะดม” ก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้ว จริงไม่จริง!!!
ส่วนเรื่องของค่าไฟแพงบรรลัยกัลป์นั้น ก็ต้องลงไปดูไส้ในที่ว่าแพงนั้น แพงเพราะอะไร ไม่ใช่ไปตีขลุมคิดแต่เพียงว่า เพราะมีการจัดสรรก๊าซไปให้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ในเครือกลุ่ม ปตท.ที่มีแต่นายทุนต่างชาติถือหุ้นหลักอย่างที่ใครบางคนมโนกันไป
เพราะไส้ในที่แท้จริงที่ทำให้ค่าไฟแพงสุดกู่นั้น ทุกฝ่ายต่างรู้สาแก่ใจกันดี ส่วนหนึ่งก็เพราะการปฏิรูปพลังงานของประเทศมันยังไป “ไม่สุดซอย” ประชาชนยังถูก “มัดมือชก” ให้ต้องซื้อไฟฟ้าผ่าน 3 การไฟฟ้า และการจำหน่ายไฟฟ้ายังคงถูก “ผูกขาด” ระบบสายส่งและจำหน่ายไฟอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันต่างหาก ต้องถูกโขกค่าบริหารจัดการ ค่าการตลาดและกำไรในไส้ในเหล่านี้เพื่อไปหล่อเลี้ยงสวัสดิการพนักงานของของ 3 การไฟฟ้าที่มีอยู่เต็มลำเรือ ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
ก็ดูจากงบการเงินตลอดช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ทุกอณูในระบบเศรษฐกิจสำลักพิษกันถ้วนหน้า ต่างหืดจับหายใจไม่ทั่วท้อง แต่ 3 การไฟฟ้ากลับยังคงทำกำรี้กำไรกันอู้ฟู่ขนาดไหน โน้น 60,000 ล้านบาทเข้าไปโน้น อันเป็นบทสะท้อนใครกันแน่ที่ “ทำนาบนหลังคน” จริงไม่จริง!!!
แก่งหิน เพิง
หมายเหตุ: อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-เนตรทิพย์: Special Report
ต้นตอค่าไฟแพงกับ “หนังม้วนเก่า”
http://www.natethip.com/news.php?id=6694
-เนตรทิพย์: Special Report
คลี่งบการเงิน 3 การไฟฟ้ากำไรท่วม 6 หมื่นล้าน! สุดอึ้ง! กฟผ.ขนาดถูกบอนไซ ยังกำไรทะลักล้น 5 ปี 2 แสนล้าน บทสะท้อนความจริง...ใครกัน “ปล้นสะดม-ทำนาบนหลังผู้ใช้ไฟ”???
http://www.natethip.com/news.php?id=6709