บทพิสูจน์! “แรงเสียดทาน”ของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ที่สุด! พวกเขาแข็งแกร่งพอจะทนแรงยั่วยุแห่งอำนาจได้แค่ไหน? เสียงคนไทยในฝั่งที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงกว่า 24 ล้านเสียง จะเป็น “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ให้ ขอเพียงยึดมั่นหลักการ “รัฐบาลประชาธิปไตย” เท่านั้น
……………………………………
ยากทำใจ! ใครจะคิด...เป้า “แลนด์สไลด์” เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา 376 เสียงอัพนั้น ทว่า ของจริง...กลับห่างเป้าไปไกลถึง 235 เสียง
อุตส่าห์ทุ่มสรรพกำลังและสารพัดปัจจัย ยกคณะระดับ “หัวกะทิ” เดินสายหาเสียงกับ “ครอบครัวเพื่อไทย” มาตั้งนาน...หลายพื้นที่
ที่สุด! การเลือกตั้งเมื่อ 14 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ได้มาแค่...112 เสียง สำหรับ ส.ส.เขตเลือกตั้ง และ 29 ส.ส.บัญชีรายชื่อ รวม ส.ส. 2 ระบบเพียง 141 เสียง
คนระดับ “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร แนะให้รีบ “ดิสรัป” ภายในพรรคโดยเร็ว แถมหนึ่งในแคนดิเดทนายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ยังออกตัว “ไม่ขอรับตำแหน่ง” ในรัฐบาลชุดใหม่ แต่จะขอทำหน้าที่หัวหน้าทีมยุทธศาสตร์...ปรับโครงสร้างพรรคฯ แบบยกเครื่อง!
รองรับการเลือกตั้งครั้งหน้า... แม้อาจต้องรอยาวนานถึง 4 ปีเต็มก็ตาม
ปมตามหลัง...วันแห่งประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ ไม่นานหลังจาก 8 พรรคร่วมฝั่งประชาธิปไตย ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) จัดตั้งรัฐบาล ก็มีกระแสข่าว ทดสอบความเหนียวแน่นของรัฐบาลประชาธิปไตย นั่นคือ...
ดีลลับ! จาก... บิ๊ก “อดีตเพื่อไทย” บางคน? ที่เป็นใหญ่และใกล้ชิด “ลุงคนโต!” กับข่าว...ยุบพรรคพลังประชารัฐ ที่มี ส.ส. 2 ระบบ ราว 40 เสียง โดยส่วนใหญ่จะไหลไปรวมกับพรรคเพื่อไทย ดันเป็น...พรรคอันดับ 1
ทว่ากระแสความชอบธรรมในทางการเมือง รับไม่ได้! กับวิธีคิดแบบนี้
ดีลนี้...จึงต้องถอยออกไปก่อน
หมายความว่า....เก้าอี้ตัวนั้น “นายกรัฐมนตรี” ลำดับที่ 30 ยังคงเป็นความชอบธรรมของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จากฝั่งพรรคก้าวไกล เช่นเดิม
คนจากพรรคอันดับสอง คงเป็นได้เพียง “ม้ารอง”
กระนั้น “แผนสอง” ดีลลับใหม่...กับพรรคภูมิใจไทย จึงถูกเปิดออกมา ทำนอง “โยนก้อนหินถามทาง” กันอีกครั้ง!
สร้างแรงสั่นสะเทือน คู่ขนานไปกับข่าว..ส่วนใหญ่ของ 250 ส.ว. จะไม่โหวตเลือก “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ด้วยสารพัดเหตุผล...ทั้งเรื่องคุณสมบัติการถือหุ้นสื่อ (ไอทีวี), เรื่องแก้ไข ม.112 ฯลฯ
การงดออกเสียงของ ส.ว.บางคนที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ ก็ไม่ต่างจากการ “ไม่โหวตเลือก” เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุชัด! คนจะเป็น “นายกรัฐมนตรี” ต้องได้รับเสียงสนับสนุนในรัฐสภา (สภาผู้แทนราษฎร + วุฒิสภา) ไม่ต่ำกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 376 เสียงขึ้นไป
งดออกเสียง จึงเท่ากับไม่โหวตเลือก แม้ดีลลับ! ทั้ง 2 ครั้ง จะไม่ได้ออกมาจากฝั่งพรรคเพื่อไทย หรือฟากประชาธิปไตยก็ตาม แต่นั่น...ได้กลายเป็นจุดเริ่ม...ทำลายความสัมพันธ์ระหว่าง 2 พรรคใหญ่
ยิ่งกระแสความถูกเร่งเร้ากับปม “แย่งเก้าอี้” ประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ หรือประธานสภาผู้แทนสภาราษฎร ระหว่าง...พรรคก้าวไกล และพรรคไทยรักไทย ด้วยแล้ว
เสมือนเป็นการตอกย้ำปมความขัดแย้งระหว่างกันให้กว้างออกไปยิ่งๆ ขึ้น
ยังดีที่ปมวิวาทะ!ระหว่าง... บรรดา “ลูกหาบการเมือง” และกองเชียร์ “ด้อมส้ม” และ “ติ่งแดง” ออกมาฟัดกันผ่านสื่อกระแสหลัก และกลางโลกโซชียล ไม่ได้รับแรงหนุนออกมาจาก “ตัวจริง” ของ 2 พรรคใหญ่
ลุงโทนี่... แค่ “รีทวีต!” ข้อความที่ “ดวงฤทธิ์ บุนนาค” หนึ่งในทีมผู้ดำเนินรายการ คลับเฮาส์ CareTalk โพสต์แรงๆ “ต้องทนให้คนที่เรียกตัวเองว่าเพื่อน เอาตีนถีบหน้าอยู่ทุกวันจริงหรือครับ เพื่อนที่โกหก คอยแทงข้างหลังตลอด แต่ต้องช่วยมันเพราะลำพังตัวเองมันไปเองก็ไม่รอด ไม่ช่วยมันกูก็ผิด ช่วยมันกูก็เจ็บ #ความอดทนบางทีแม่งก็มีขีดจำกัด”
ขณะที่ “ธนอน” (ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ) เก็บอาการได้ดีกว่า..
ไม่เช่นนั้น...สิ่งที่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” และ “เดอะ อ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง พยายามช่วยกันหาทางลงกับเกมแย่งชิง “เก้าอี้ประมุข” ขั้วอำนาจ “นิติบัญญัติ” คงไม่ลงเอยที่..
หน้าฉาก...หารือในวงเจรจาบอร์ดตั้งรัฐบาล “ดีเดย์” 30 พ.ค.นี้...ทุกอย่างต้องจบ!
หลังฉาก...คุยลับ แลกเปลี่ยน! ผลัดกันทำหน้าที่ “ประมุขฯ” ในทุกประเด็นข้อกฎหมายที่แต่ละพรรคเสนอมา
พูดให้ชัด! หากเป็นร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอ ประธานฯ จากพรรคเพื่อไทย ต้องเปลี่ยนให้รองประธานฯ จากพรรคก้าวไกล ขึ้นไปทำหน้าที่ “ประมุขฯ - ชั่วคราว”
หากจำเป็น...ก็ต้องทำ MOU ทวิภาคี
“เรื่อง “ประธานสภา” ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เป็นเรื่องความเห็นไม่ตรงกันของพรรคร่วมรัฐบาลที่เล็กมาก ถ้าหากเทียบกับภารกิจที่ประชาชนมอบความไว้วางใจให้พวกเรามา ดังนั้น พรรคร่วมรัฐบาลต้องจับมือเกี่ยวแขนกันไว้ให้มั่นคง ทำภารกิจยุติสืบทอดอำนาจรัฐประหาร พาประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยให้สำเร็จจงได้”
ข้างต้นคือ...คำพูดจากปากของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ซึ่งย้ำหนักแน่นด้วยว่า...
“พวกเราต่างก็รับทราบวิธีคิด หลักการ เหตุผลของทุกฝ่ายชัดเจนแจ่มแจ้งในประเด็นนี้กันแล้ว ดังนั้น ผมขอให้เรื่องตำแหน่งประธานสภานี้ ให้พรรคร่วมรัฐบาลกลับไปพูดคุยกันผ่านตัวแทนแต่ละพรรคในวงเจรจาจะดีที่สุด ตอนนี้ ขอให้ทุกพรรคเดินหน้าทำงานปรับจูนนโยบายร่วมกัน ตั้งรัฐบาลให้สำเร็จตามความคาดหวังของประชาชนครับ”
นั่นจึงได้ข้อสรุปที่ว่า...เก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” เป็นของพรรคก้าวไกล ส่วนเก้าอี้ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” ยกให้เป็นของตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ภายใต้เงื่อนไขพิเศษระหว่างกัน
ส่วนหวยจะออกที่ใคร? ระหว่าง... หมอชลน่าน ศรีแก้ว หน.พรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งจะมีบทบาทแรงๆ ก็คราวที่มีกรณีพิพาทกับ “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี จากพรรคไทยสร้างไทย ปม...บีบให้ 2 พรรคใหญ่ ทำ “MOU แอดวานซ์” ไม่ว่าจะเป็น...รัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ก็ตาม
กับอีกคน “พ่อมดดำ” สุชาติ ตันเจริญ อดีตรองประธานสภา สมัยที่แล้ว
ส่วนเรื่องข้อเสนอจากวงวิชาการและสื่อบางสำนัก ที่พร้อมใจยกให้เป็น...คนจากพรรคที่สาม โดยเฉพาะ “วันมูหะหมัดนอร์ มะทา” หัวหน้าพรรคประชาชาติ ที่ดูเหมือนจะเป็น “ของแสลง” ของทั้ง 2 พรรคใหญ่
และพรรคอันดับ 1 อย่าง พรรคก้าวไกล ก็น่าจะมีปัญหามากที่สุด! หากจะต้องเสนอร่างกฎหมายสำคัญที่ได้หาเสียงไว้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น...พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า หรือ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม
นั่นเพราะ “วันนอร์ฯ” เคยประกาศชัด! ก่อนหน้านี้ ทำนอง...ไม่เอา 2 กฎหมายข้างต้น เพราะขัดกับหลักการศาสนาที่เขานับถือ
ฉะนั้น เรื่อง เก้าอี้ “ประธานสภาผู้แทนราษฎร” จากบุคคลที่ 3 ตัดทิ้งไปได้เลย! หมดสิทธิ์...ความเชื่อส่วนตัวไม่อาจง้างความคิดเปลี่ยนแปลงประเทศ ไปสู่จุดที่ดีและเหมาะยิ่งกว่า...อย่างแน่นอน
หากประเด็นปัญหาเรื่องเก้าอี้ตัวนั้นจบไปได้ ก็ยังเหลือปมปัญหาส่วนตัวของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ทั้งปม...ถือหุ้นสื่อ และ แก้ไข ม.112 ที่กลายเป็น “ข้ออ้าง” ของส่วนใหญ่ใน 250 ส.ว. เสียด้วย
การจะผ่านปมปัญหาเหล่านี้ ก็ไม่ง่าย...แม้ “เจ้าตัว” และแกนนำพรรคก้าวไกล รวมถึงนักวิชาการและสื่อใหญ่บางคน จะหยิบเอาหลักกฎหมายและสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญ เคยวินิฉัยมาแล้ว มาเป็นตัวเทียบเคียงกับปมของหัวหน้าพรรคก้าวไกล...ว่าที่ นายกฯ คนที่ 30 ก็ตาม
แต่ในทางการการเมืองแบบไทยๆ แล้ว...ไม่มีหลักเกณฑ์ หรือหลักการใดๆ จะนำมาใช้เป็นหลักให้ใครหน้าไหน? ได้ยึดเป็นแนวทางการในการพิจารณาตัดสินความถูก-ผิดได้!!!
จึงต้องลุ้นกันต่อไปว่า...ที่สุด “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” จะผ่านอุปรรคขวากหนามนี้ ไปได้หรือไม่?
นี่ยังไม่รวม...ขวากหนามอื่นๆ ที่ฝ่ายตรงข้าม พร้อมจะประเคนใส่มาให้ ยกตัวอย่างเรื่องไกลแต่ใกล้ตัว... ว่าด้วย การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการต้องอยู่ “ท่ามกลางเขาควายแห่งอำนาจ” ของ 2 ขั้วมหาอำนาจ “สหรัฐฯ-จีน”
ที่สุด! นายกฯ คนใหม่ของไทย...จะจัดการนโยบายการต่างประเทศได้ดีแค่ไหน? อย่างไร?
นาทีนี้...มีข่าวโจมตีรัฐบาลที่มีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำ พร้อมดึงกองทัพสหรัฐมาตั้งฐานทัพในไทย ประหนี่ง...ชักศึกเข้าบ้าน! ทั้งที่...ประเด็นนี้ ถูกปฏิเสธกันจริงจัง และฝ่ายนักวิชาการเอง ก็ออกมาให้ข้อมูลเชิงลึก! การจะดึงกองทัพสหรัฐมาตั้งฐานทัพในไทย ต้องมีเงื่อนไขอะไรบ้าง?
กระนั้น ดูเหมือนฝ่ายตรงข้าม... ก็ยังจะสนุกกับการสร้างและปล่อย “เฟคนิวส์” แบบนี้ต่อไป...
เพราะแม้พวกเขามิอาจจะผลักดัน จัดตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ได้ การเปิดทางให้พรรคเพื่อไทย ได้กุมทั้ง...อำนาจฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ก็น่าจะดีกว่าการให้พรรคก้าวไกล ได้ไป แม้เพียง...เก้าอี้ (นายกฯ) เดียว
ถึงตรงนี้ จึงน่าสนใจว่า...รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ที่มีพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย เป็น 2 แกนนำสำคัญ จะทนต่อแรงเสียดจากฝ่ายตรงข้าม ได้มากแค่ไหน?
แม้...พรรคเพื่อไทยจะขาดพรรคก้าวไกลได้ ในขณะพรรคก้าวไกล ขาดพรรคเพื่อไทยไม่ได้เลย นั้น
ความชอบธรรมในทางการเมือง และหัวใจแห่งความชอบธรรมของคนไทย ที่ได้เทคะแนนให้ 2 พรรคใหญ่ขั้วประชาธิปไตย รวมกันมากถึงกว่า 24 ล้านเสียง จากทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งในครั้งนี้
จะเป็นเครื่องพิสูจน์ “หัวใจประชาธิปไตย” ของพรรคการเมืองขั้วนี้!!!