ปมความสัมพันธ์ระหว่าง “พี่น้องคนละท้องเดียวกัน” จะถึงขั้นสะบันขาด! หรือไม่? ยังเป็นที่สงสัยของ “คอการเมืองไทย” แต่ที่แน่ๆ ในเมื่อแต่ละฝ่ายยังคงกุมสภาพในอำนาจต่อรองที่มีกับ “รัฐบาลเศรษฐา” ก็น่าสนใจว่า หากต้องเกิดเหตุการณ์ “ขบเหลี่ยม” ต่อกัน ที่สุด...ใคร? จะถือไพ่เหนือกว่า! ระหว่าง...อำนาจผ่านองค์กรอิสระ กับตัวประกันการเมือง
..............
พี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆ ยังขบเหลี่ยมเฉือนคม แย่งชิงกองผลประโยชน์ของ “ต้นตระกูล” เพียงเพราะต่างอยากได้ใคร่มีในสิ่งที่อีกฝ่ายเองก็ต้องการ...
ถึงขั้นประหัตประหาร ล่าผลาญชีวิตกันเอง ก็มีให้เห็นมานักต่อนักแล้ว
ประสาอะไรกับ พี่น้องคนละท้องเดียวกัน! ในวันที่ผลประโยชน์ไม่ลงตัว พวกเขาก็พร้อมจะยืนคนละฟาก โดยมิใยดี…ต่อความสัมพันธ์ใดๆ ที่เคยมีนับแต่ก่อนกาล
ความที่เคยเป็น...พี่น้องร่วมสถาบัน ร่วมภารกิจ ร่วมผลประโยชน์ และอีกหลายๆ ร่วม?….ก็อาจมีอันต้องสูญสลายได้ หากอีกฝ่าย…จ้องหักผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายคิดจะครอบครอง!
กรณีความสัมพันธ์ระหว่างความเป็น “น้อง–พี่” ที่เคยประกาศ “รักกันไม่มีวันตาย” ระหว่าง... “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะใกล้เคียงกับเรื่องราวที่ “สำนักข่าวเนตรทิพย์” ได้หยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาข้างต้นหรือไม่? อยากจะคาดเดาได้...
แต่กับปรากฏการณ์ระหว่าง “2 ผู้ยิ่งใหญ่” ในทางการเมืองไทยตลอด 10 ปี ที่ผ่านมานั้น คงต้องย้อนหลังกลับไปดูเรื่องราวในอดีต ที่อาจเป็น “จุดเริ่มต้น” ของความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมต่อกัน นับแต่ “บิ๊กตู่” ได้มีคำสั่งให้ “2 คนสนิท” ระดับมือทำงานคนสำคัญของ “พี่ชายคนโต–ในทางการเมือง” พ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564
หนึ่ง... คือ “ร.อ.ธรรมนส พรหมเผ่า” พ้นจาก...รมช.เกษตรและสหกรณ์ อีกหนึ่ง...คือ “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” พ้นจาก...รมช.แรงงาน
ครั้งนั้น...มิต่างจากถูกฟ้าผ่าลงตรงกลางดวงใจ!!
ทั้งที่...เส้นทางในทางการเมือง นับแต่สิ้นสุดความเป็น “รัฐบาล คสช.” นั้น พี่ชายคนนี้...ได้วางกลเกมเอาหลายหน้า เพื่อให้ “น้องเลิฟ” ได้ครอบครองเก้าอี้ “ผู้นำประเทศ” ในระบบรัฐสภา
เปิดทางให้ น้องชายคนนี้...ได้รับการยอมรับในเวทีการเมืองระดับนานาชาติ
แค่การวางตำแหน่งในรัฐบาล เพียงให้ “พี่ชาย” ได้นั่งแค่เก้าอี้ “รองนายกฯ” โดยไร้อำนาจควบคุมกองทัพ เช่นแต่ก่อน ยังยากจะทำใจได้ แต่กับหนนี้ ที่ได้ “ปลดฟ้าผ่า!” 2 มือทำงานคนสำคัญ
มันคือ...จุดเริ่มต้นที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัน “ไม่เหมือนเดิม” อีกต่อไปหรือไม่? ยังคงเป็นสิ่งที่สังคมไทยและคอการเมือง...ต่างติดตามและตั้งเป็นข้อสงสัยเรื่อยมา
หากยังจำกันได้ ระหว่าง...การประชุมสภาผู้แทนราษฎร “อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล” เมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 20 กรกฎาคม 2565 ก็เป็น...“บิ๊กป้อม” ที่ลุกขึ้นมาขอใช้สิทธิพาดพิง พร้อมกับโต้ข้อกล่าวหาของ ส.ส.พรรคก้าวไกล ที่กล่าวหาว่า...ตัวเองได้ ใช้อำนาจแทรกแซงทำงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อกดดันให้กรมศุลกากรไม่ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับนาฬิกาเลิศหรู “นาฬิกายืมเพื่อน” มาเก็บไว้ครอบครองหลายสิบเรือน
ครั้งนั้น “บิ๊กป้อม” ยืนยันว่า...ตัวเองไม่สามารถตอบเรื่องนี้ได้ เพราะไม่อาจก้าวล่วงการทำงานของ ป.ป.ช.ได้ เรื่องทั้งหมด ก็ไม่เกี่ยวกับ ป.ป.ช. แต่เพราะตนมีเพื่อนที่ดี และว่า... สส.คนที่กล่าวหาตน อาจไม่เคยมีเพื่อนดีๆ ซึ่ง เพื่อนของตนนั้น คบกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษา ก่อนจะชี้มือไปยัง พลเอกประยุทธ์อที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับวลีที่กลายเป็น “วาทะกรรมการเมือง” และได้ถูกจดบันทึกเอาไว้เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ ว่า..
“นี่ครับ...คนปฏิวัติ ท่านนายกฯคนเดียว”
เป็นคำพูดที่ทำให้...ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวันนั้น คราคร่ำไปด้วยเสียงฮือฮา ปะปนกับเสียงหัวเราะลั่นสภาฯของบรรดา ส.ส.ทั้งฝั่งรัฐบาลและฝ่ายค้าน
เล่นเอา...คนถูกชี้เป้า! หน้าเปลี่ยนและถอดสีในบัดดล!!!
นี่มัน...เสมือนเป็นการ “เอาคืน” ครั้งสำคัญทีเดียว!
ครั้งนั้น...ว่ากันว่า ลึกๆ สส.ส่วนใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐ ที่รู้สึก...อึดอัดและไม่ผูกพันกับ พลเอกประยุทธ์ สักเท่าใด? วางแผนจะร่วมยกมือ...ร่วมโหวตไม่ไว้วางใจ “นายกรัฐมนตรี” เพื่อให้มีการยุบสภาฯ กันไป
แต่เพราะ พลเอกประวิตร เปลี่ยนใจกะทันหัน! เรียกบรรดา สส.พรรคพลังประชารัฐ กลุ่มนี้ มาพูดคุยเป็น “วงลับเฉพาะ” พร้อมกับร้องขอให้ช่วยกันสนับสนุน “นายกรัฐมนตรี” ในสภาฯ เพื่อให้ทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป
นั่นเอง...ทำให้สถานะความเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของพลเอกประยุทธ์ ยังคงดำรงอยู่ มาจนถึงวันสิ้นสุดการครองอำนาจในปัจจุบัน
เรื่องนี้ “สิระ เจนจาคะ” อดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และเป็นหนึ่งในกลุ่ม ส.ส. ที่เข้าร่วมประชุม “วงลับ” กับ “บิ๊กป้อม” ในวันนั้น เคยออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวกับสื่อบางสำนักไปแล้ว...ย้อนไปดูคำให้การนี้ได้ในโลกโซเชียล
กลับมายังปัจจุบัน...แม้ พลเอกประยุทธ์ จะประกาศวางมือในทางการเมืองไปแล้วก่อนหน้านี้ แต่หลายคนก็เชื่อว่า...ไม่ได้วางมือจริง! เพราะยังสามารถจะ “สั่งการ” ผ่าน สส.พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค “คนสนิท” เป็นหัวหน้าพรรคฯ และได้เข้าร่วม รัฐบาล “เศรษฐา 1” ครอบครองเก้าอี้รัฐมนตรีสำคัญๆ อย่างตำแหน่ง โดยเฉพาะ...เก้าอี้ “รัฐมนตรีพลังงาน” ที่ถูกมองว่า...ต้องการเก็บเก้าอี้ตัวนี้ไว้ เพื่อดูแล “กลุ่มทุนใหญ่” เป็นการเฉพาะหรือไม่?
มากไปกว่านั้น...การที่ อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร คนที่เคยถูก “บูลลี่” จากแกนนำพันธมิตรประชาชนและสื่อในสังกัดฯ ว่าเป็น “นายกฯ หน้าเหลี่ยม(จัด)” เดินทางกลับมารับโทษในคดีอาญา เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมานั้น
ว่ากันว่า...พลเอกประยุทธ์ มีส่วนอย่างมากต่อเหตุการณ์ครั้งสำคัญในทางการเมืองรอบนี้
ถึงขั้น...มีการกล่าวซุบซิบให้ได้ยิน ทำนอง...นี่คือ “ตัวประกันชั้นดี” ที่จะคงความสำคัญในทางการเมืองให้กับ พลเอกประยุทธ์ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ในรัฐบาล “เศรษฐา 1” ต่อไป...
และการเดินทางไปเยี่ยมคารวะ พลเอกประยุทธ์ ของ “เศรษฐา ทวีสิน” หรือ “นายกฯ นิด” นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม หรือ 2 วันนับจากที่ “ทักษิณกลับไทย” นั้น ว่ากันว่า...ลึกๆ แล้ว นี่คือ การหารือในระดับ “วงลับ” โดยมีเรื่องราวของ “ตัวประกันชั้นดี” ในทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง
เรื่องนี้...อาจสร้างความไม่สบายใจต่อ พลเอกประวิตรและคณะฯ ถึงขนาดที่บรรดานักข่าวซึ่งเฝ้าติดตามฯ แทบไม่เห็นความเคลื่อนไหวของ “บิ๊กป้อม” ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา...
พลเอกประวิตร กำลังคิดและทำอะไรอยู่? เพราะนับตั้งแต่...การโหวตยกมือสนับสนุนให้ “เศรษฐา” นั่งเก้าอี้นายกฯ คนใหม่ของสมาชิกรัฐสภา ทั้งในซีกของ สว. และ สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ รวมถึง สส.ในกลุ่มพรรคพลังประชารัฐเอง...ได้สร้างความรู้สึกอึดอัดใจอย่างที่สุด!
แผนเหยียบ “บัดได 3 ขั้น”...ขึ้นชั้นสูงสุด! มีอันต้องพับไว้ในทันที!!!
เจ็บกว่านั้น คือการที่ พรรคแกนนำรัฐบาล อย่าง...พรรคเพื่อไทย กลับมอบเก้าอี้รัฐมนตรีให้กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ (36) ที่มี สส.น้อยกว่า พรรคพลังประชารัฐ (40) อยู่ถึง 4 คน แต่กลับได้ครองเก้าอี้รัฐมนตรี 2+2 ไม่ต่างกัน
นี่จะเป็นชนวนเหตุทำให้ พลเอกประวิตร เตรียมจะประกาศลาออกจากความเป็น สส. เพื่อนั่งเก้าอี้ “หัวหน้าพรรคฯ” เพียงอย่างเดียว เพื่อทำภารกิจพิเศษ! อะไรหรือไม่? ยังเป็นที่กังขาของ “คอการเมืองไทย”
แต่ที่แน่ๆ สังคมไทยได้เห็น “2 พี่น้อง” บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม ต่างประกาศ “ตัดสินใจครั้งสำคัญ” ในเวลาที่ห่างกันไม่กี่เดือน
คนหนึ่งประกาศวางมือ...อีกคนประกาศลาออกจากความเป็น สส.
เรื่องคงไม่ธรรมดาแน่!
คนน้อง...ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาลใหม่ ผ่าน...แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ได้รับการบรรจุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 รวมถึงอิทธิเหนือความคิดและการกระทำของ ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ และ “ตัวประกัน” คนนั้น
ขณะที่คนพี่เอง...นอกจาก สส.พรรคพลังประชารัฐ และ สว.ในซีกที่ยังเคารพรักกันอยู่แล้ว ก็ยังจะมีเครื่องมือพิเศษ? ผ่านการทำงานขององค์กรอิสระ โดยเฉพาะคำร่ำลือที่ว่า...“บิ๊กป้อม” ยังคงมีอิทธิพลเหนือความคิดและการตัดสินใจของ ป.ป.ช.???
สิ่งนี้...อาจเป็นเงื่อนตายต่อ “รัฐบาลเศรษฐา 1” และตัว “นายกฯ นิด” เอง เพราะยังคงมีอีกหลายเรื่องราวในทางข้อร้องเรียนเกี่ยวพันกับกฎหมายสำคัญ...ค้างคากันอยู่
บทบาทนับจากนี้ ของ “2 พี่น้อง” ทั้งต่อความสัมพันธ์ระหว่างกัน และความสัมพันธ์ต่อความอยู่รอดของ “รัฐบาลเศรษฐา 1” จะเป็นอย่างไร?
ศึกชิงไหวชิงพริบ...หักเหลี่ยมเฉือนคม! ระหว่างกัน...ถือว่าได้เริ่ม “นับหนึ่ง” อย่างเป็นทางการ (อีกครั้ง) แล้ว!