ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย...ปล่อยผี! “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในคดีถือหุ้นสื่อ “ไอทีวี” กระทั่ง ได้กลับมาทำหน้าที่ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อีกครั้ง แต่ทว่า ผู้คนในสังคมไทย โดยเฉพาะ “คอการเมือง” ต่างเห็นพ้องเป็นเสียงส่วนใหญ่ ทำนอง...รอดมาเพื่อถูกเชือดต่อในคดี “ล้มล้างการปกครอง” ในสัปดาห์ถัดไป
...
ไม่ไกลไปจากที่มีคนคาดการณ์ เพราะผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2567 ชี้ชัด! อนาคตที่ได้ของก้าวไกล พรรคการเมืองที่ได้รับเลือกตั้ง สส.มากสุดในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อครั้งการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 แล้วว่า... จากนี้ไป...โอกาสที่จะมีผู้นำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ไปดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อหวังจะให้คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ยุบพรรคก้าวไกล ก็มีสูง!
หนึ่งในนั้น ที่จองกฐินไว้แล้ว คือ... นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ผู้ที่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการเสนอพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น) และพรรคก้าวไกล ว่า... เป็นการใช้สิทธิ์เสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือไม่?
เขาคนนี้...ก็น่าจะสานต่อความสำเร็จครั้งใหม่ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า การกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสั่งการ "เลิกการกระทำ" การแสดงความคิดเห็นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ด้วยวิธีการ ซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย
แปลความจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สรุปได้ว่า...นายพิธา ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 มีพฤติการณ์ในการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการ การเรียกร้องให้มีการทำลายการในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยซ่อนเร้นหรือผ่านการนำเสนอร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค
แม้เหตุการณ์ตามคำร้องข้างต้นจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่การดำเนินการรณรงค์ให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา ยังคงเป็นไปในลักษณะที่มีดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และทำเป็นขบวนการ โดยใช้หลายพฤติการณ์ประกอบกัน ตั้งแต่...การชุมนุม การจัดกิจกรรม การรณรงค์ผ่านสื่อสังคม การเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่สภา การใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง ฯลฯ
น่าสนใจอย่างมากกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุชัดเจนว่า... “หากยังปล่อยให้ผู้ถูกร้องทั้งสองกระทำการต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
พร้อมกับชี้ชัดว่า...การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองจึงเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
“ล้มล้างการปกครอง” วลีนี้...รุนแรงมากขนาดไหน? ก็ขนาดที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล อาจต้องเตรียมแผนสำรองในทางการเมืองเอาไว้เสียแต่เนิ่นๆ
ต้องไม่ลืมว่า... ในอดีตที่ผ่านมา การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในทำนองนี้ ปลายทางคือ...การยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิทางการเมืองกับกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ!
นับแต่ พรรคไทยรัฐไทย พลังประชารัฐ ต้นทางของพรรคเพื่อไทย จนถึงพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นพรรคต้นทางของพรรคก้าวไกล เช่นกัน แม้กระทั่ง พรรคก้าวไกล เอง...ในอนาคตอันใกล้ คงมีปลายทางไม่ต่างกันสักเท่าใด?
ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว สามารถจะทำให้ใครบางคน? บางองค์กรนำไปยื่นต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อเอาผิดพรรคก้าวไกล ฐานกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 92 (2) พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
ทั้งนี้ เพื่อให้ กกต. ส่งเรื่องต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ ได้พิจารณาสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ในวันข้างหน้า...
และงานนี้...อาจไม่ใช่แค่ นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร เท่านั้น ที่จะเป็นคน “ขยายผล” ของเรื่องนี้ เพราะ “ต้นทุนแสง” จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งต่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล มันมีพลังมากพอจะทำให้ “คนหิวแสง” ได้เฉิดฉายในเวทีการเมืองนอกสภาฯ
พูดง่ายๆ ... ใครชิงยื่นเรื่องต่อ กกต. ก่อน...ก็ได้ตกเป็นข่าวตามหน้าสื่อของไทย โดยไม่ต้องสงสัย
เปอร์เซ็นที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล จะถูกตัดสิทธิ์ในทางการเมือง และถึงขั้นยุบ พรรคฯ นั้น ว่ากันว่า...มีสูงเกินครึ่ง!
แม้หลายฝ่ายจะวิเคราะห์กันต่อไปว่า...หากจะต้องยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมืองกับกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ก็ไม่ทำให้อนาคตของกลุ่มการเมืองฟากนี้ หดหายและแยกย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองฝั่งตรงกันข้าม
จะย้ายไปสังกัดพรรคพันธมิตร หรือสร้างพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา ล้วนเป็นสิ่งที่สมาชิก และบรรดา ส.ส.เขตเลือกตั้งของพรรคก้าวไกล สามารถดำเนินการได้อย่างมีนัยสำคัญ...
เช่นกัน...มีการวิเคราะห์อนาคตทางการเมืองของนักการเมืองกลุ่มนี้ ทำนองมีโอกาสที่จะ “เติบโตกว่าเก่า”...
ครั้งก่อน...เมื่อมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ จากเดิมที่เคยมี ส.ส. 70-80 คน ก็พุ่งพรวดเป็นกว่า 150 คน หรือ 2 เท่าตัว เมื่อผ่านการเลือกตั้งในชื่อพรรคก้าวไกล และในวันข้างหน้า...หากจะต้องย้ายพรรคการเมืองในชื่อใหม่...โอกาสจะได้ ส.ส.แตะหรือทะลุ 200 คน ก็อาจเป็นไปได้
สรุปรวมความ ณ นาทีนี้ คือ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยแล้วว่า...ทั้ง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล เข้าข่าย “ล้มล้างการปกครอง” ไปแล้วนั้น จากนี้...ก็น่าจะมีการ “ขยายผล” ที่บรรดา “นักร้อง” แย่งซีน...ชงเรื่องต่อไปให้ กกต. ดำเนินการ เพื่อส่งต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อเอาผิดพรรคก้าวไกล ถึงขั้นอาจมีการพิจารณาสั่งยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค ต่อไป
ระหว่างทาง...แกนหลักที่ไม่ใช่คณะกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ก็คงต้องเตรียมการ “สร้างพรรคการเมืองใหม่” ขึ้นมารองรับ ส.ส.กลุ่มนี้ ที่แม้จะเหลือน้อยลง เพราะถูก “ตัดทิ้ง” ส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งเกือบ 40 ชีวิตออกไป ก็ตาม
กระนั้น หากมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ คงได้ลุ้นกันว่า...นักการเมืองกลุ่มนี้ จะไหลกลับเข้าสภาฯ ได้มากหรือน้อยกว่าที่เคยได้จากการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งล่าสุด ส่วนจะได้เท่าใด? มากหรือน้อยกว่า 200 เสียง ก็ต้องลุ้นกันต่อ
แต่ที่ไม่ต้องลุ้นคือ...นักการเมืองทุกคน ต้องไม่ถือหุ้นสื่อ และพรรคการเมืองทุกพรรค...จะต้องไม่เล่นกับการเสนอให้มีการแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 อย่างเด็ดขาด!!!