ฤกษ์กลับบ้าน “จันทร์ส่องหล้า” สะท้อนภาพ “นักโทษนอกเรือนจำ - ทักษิณ ชินวัตร” ผู้ทรงอำนาจตัวจริงในทางการเมือง แต่ลุ่มลึกยิ่งกว่า! คือหนุน “นายกฯเศรษฐา” บริหารประเทศจนครบวาระ กับภารกิจใหม่ “พาน้อง(สาว)กลับบ้าน” ส่วนมิตร-ศัตรูการเมือง...ศูนย์กลางอำนาจแห่งใหม่ “จรัญฯ 69” จะหาคำตอบให้เอง
…………………
17 ปีที่รอคอย กับมหาฤกษ์แห่งการหวนคืน “บ้านจันทร์ส่องหล้า” เมื่อห้วงเวลา 06.06 น. ของวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567
บรรยากาศ “ใจฟู” กระจายตัวไปทั่วประเทศ และไม่เฉพาะ “เจ้าตัว” นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และครอบครัว “ชินวัตร” เท่านั้น
หากยังทำให้บรรดา “ด้อมแม้ว” และฝ่ายประชาธิปไตย ที่วันนี้... อาจเหลือจำนวนไม่มากเท่ากับปี 2552 – 2553 ที่ “คนเสื้อแดง” นับสิบล้านคนคอยทำหน้าที่ “ผนังทองแดง กำแพงเหล็ก” ให้กับคนตระกูลนี้ และพรรคการเมืองที่ต่อยอดและปรับเปลี่ยนชื่อจาก “พรรคไทยรักไทย” จนเป็น “พรรคเพื่อไทย” ในวันนี้…พลอยยินดีและหัวใจฟูตามไปด้วย
แม้สถานะปัจจุบัน ยังได้ชื่อว่าเป็น “นักโทษ” ที่ได้รับการ “พักโทษ” กระนั้น อดีตนายกฯ ทักษิณ “ผู้ต้องขังเด็ดขาด” ในวัยใกล้ 75 ปี ก็ไม่เคยต้องโทษ “คุมขัง” อยู่ในเรือนจำเหมือนเช่น “นักโทษ” ทั่วไป นั่นเพราะมีอาการป่วยเรื้อรังของคนสูงวัย ติดตัวมาในวันเดินทางกลับมารับโทษในประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566
การถูกจองจำนอกเรือนจำ...อยู่ในห้องพักรักษาตัว บนชั้น 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา โรงพยาบาลตำรวจ ตลอดระยะเวลา 6 เดือน นับแต่ก้าวเท้ากลับมามอบตัวฯ จนถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือได้ว่า...ครบกำหนดการรับโทษ 180 วัน หรือ 6 เดือนเต็ม กระทั่งมีคุณสมบัติมากพอจะได้รับเกณฑ์การ “พักโทษ” แล้ว
จากนี้... อดีตนายกฯ ทักษิณ ได้เข้าสู่กระบวนการพักโทษแล้ว และในทันทีที่...รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เซ็นอนุมัติรับทราบให้ปล่อยตัวพักโทษแล้วนั้น ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จะไม่สามารถคุมตัว “นักโทษกิตติมศักดิ์” คนนี้...ได้อีกต่อไป
นับเป็นการ “ส่งต่อภารกิจ” จากกรมราชทัณฑ์สู่กรมคุมประพฤติ ต่อไปอีก 6 เดือน และหากเมื่อถึงวันครบกำหนดในเดือนสิงหาคม 2567 ที่จะถึงนั้น อดีตนายกฯ ทักษิณ จะก้าวสู่ความเป็น “ไท” ในทันที
เช่นกัน...นับจากวันนี้ไป อดีตนายกฯ ทักษิณ จะต้องปฏิบัติตนในระหว่างพักโทษ ภายใต้ข้อกำหนด ข้อห้ามการกระทำ หรือเงื่อนไขการรายงานตัวต่างๆ ภายใต้ 8 เงื่อนไขคุมประพฤติ อันประกอบด้วย...
1. ผู้ได้รับการพักโทษ จะต้องพักอาศัยอยู่ตามที่อยู่ที่แจ้งไว้กับเรือนจำ
2. ห้ามออกนอกเขตท้องที่ที่อาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาต
3. ห้ามประพฤติตนเสื่อมเสีย เช่น เล่นการพนัน ดื่มสุรา ยาเสพติด และกระทำผิดอาญาขึ้นอีก
4. ต้องประกอบอาชีพโดยสุจริต
5. ปฏิบัติตามลัทธิศาสนา
6. ห้ามพกพาอาวุธ
7. ห้ามไปเยี่ยมบ้านหรือติดต่อกับนักโทษอื่นที่ไม่ใช่ญาติ
8. ให้ไปรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติเรือนจำ เจ้าพนักงานปกครอง หรือหัวหน้าสถานีตำรวจทุกเดือน
โดยหากผู้ได้รับการปล่อยตัว ประพฤติตนตามเงื่อนไขด้วยดีตลอด ก็จะได้รับ “ใบบริสุทธิ์” และ “พ้นโทษ” ไปตามคำพิพากษา กลับไปทำหน้าที่เป็น “พลเมืองดี” ของประเทศชาติต่อไป
น่าสนใจว่า...สถานการณ์ในทุกๆ มิติ นับจากวันนี้ไป จะเกิดอะไรขึ้นกับการเมืองและที่ไม่ใช่การเมืองในประเทศไทย!!?? คนอย่าง... อดีตนายกฯ ทักษิณ จะวางมือในทางการเมืองได้จริงหรือไม่? ในเมื่อทุกอย่างมันเอื้อโอกาสอย่างสุดๆ ให้กับตัวเขา...ที่จะได้กลับมาทวงถามในบางสิ่งที่ขาดหายไป แล้ว
ตัวเองได้กลับประเทศไทย...ได้เข้าสู่กระบวนการรับโทษนอกเรือนจำ กระทั่งได้รับการ “พักโทษ” ด้วยเหตุผลข้างต้น...
พรรคเพื่อไทยที่ลูกสาวคนเล็ก “แพรทองธาร ชินวัตร” เป็นหัวหน้าพรรคฯ กลายเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบัน
คนเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน “เศรษฐา ทวีสิน” เคยได้ชื่อว่าเป็น “เครือข่าย” ทั้งภาคธุรกิจและการเมืองให้กับ “น้องสาว” ของตัวเองอย่าง “อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่แม้วันนี้...ยังคงหนีโทษอยู่ในต่างแดน แต่อีกไม่ช้า...ก็คงกลับมารับโทษและรับสิทธิพิเศษ มิต่างกัน...
ไม่แปลกหากหลายคนในบ้านเมืองนี้ จะมองว่า...ประเทศไทยนับจากวันนี้ไป อาจมี “นายกรัฐมนตรี” 2 คนในคราวเดียวกัน ในเมื่ออดีตนายกฯ ทักษิณ ผู้มีสถานะมากกว่าการเป็น “นักโทษคุมประพฤติ” นั่นคือ การเป็น ผู้มีอิทธิพลในทางการเมืองมากสุด เหนือคนเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย”
วลีที่เคยลั่น! ทั้งพ่อและลูก ทำนอง...“ขอกลับมาเลี้ยงหลานที่บ้านฯ” เอาเข้าจริง... อดีตนายกฯ ทักษิณ จะวางมืองในทางการเมืองได้จริงหรือ? อย่าลืมว่า...พฤติกรรมในอดีต ย่อมสะท้อนภาพในปัจจุบันและอนาคต ใดๆ ที่เจ้าตัวเคยกระทำในอดีต แน่ใจได้อย่างไรว่า...จะไม่ทำอีกในอนาคตอันใกล้
แม้นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน จะตอบคำถามเรื่องนี้กับผู้สื่อข่าว ประมาณว่า “ในทางกฎหมายแล้ว นายกรัฐมนตรีมีเพียงคนเดียว คือ ตัวเขา” แต่ในทางปฏิบัตินั้น มีความเป็นไปได้แค่ไหนเพียงใด? ที่อดีตนายกฯ ทักษิณ จะไม่เข้ามาก้าวก่ายในการบริหารราชการแผ่นดิน ในเมื่อ “อำนาจที่แท้จริง” ได้ไหลกลับไปสู่มือของเขาแล้ว
นักวิชาการบางคนถึงขนาดออกมาตอกย้ำ ในท้วงทำนอง... ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว แต่อีกคนเป็นคนที่คอยกำกับทางเดินให้กับนายกรัฐมนตรี
พูดให้ชัด! คนหนึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี คอยทำหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนอีกคนเป็นคนคอยส่งสัญญาณบอกให้อีกคนต้องทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้ หรือไม่???
สรุปความได้ว่า... “ทำเนียบรัฐบาล” จะเป็นศูนย์กลางบัญชาการในการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วน “บ้านจันทร์ส่องหล้า” จะคอยทำหน้าที่ประสานอำนาจและผลประโยชน์ในทุกมิติ ที่ “ทำเนียบรัฐบาล” ไม่สะดวกใจจะทำ หรือติดขัดที่กฎระเบียบภาครัฐ
ภาพบรรยายกาศ “จราจรแออัด” ภายในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 อันเป็นที่ตั้งของ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” คงจะเกิดขึ้นแน่! นับจากวันนี้เป็นต้นไป
กระนั้น ระหว่างนี้ คนมากประสบการณ์ อย่าง...อดีตนายกฯ ทักษิณ คงจะมีกลอุบายในการจัดการกับปัญหาจาก...คำถามและข้อสงสัยถึง “คนถืออำนาจตัวจริง” ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
การรับตำแหน่ง “ประธานมูลนิธิไทยคม” น่าจะเป็นคำตอบของเรื่องนี้ เพื่อที่ตัวเขาจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการแสดงออกความคิดเห็นในประเด็นต่างๆ ทั้งเรื่องที่ละเอียดอ่อนและแข็งกร้าว (หากจะมี) อย่างเหมาะสม โดยไม่แตะประเด็นการเมือง ด้วยเกรงจะสร้างแรงกระเพื่อมและส่งผลกระทบต่อ “รัฐบาลเศรษฐา” อย่างน้อย...ก็ในห้วงเวลานี้
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ... นายกฯ เศรษฐา จะอยู่ครบวาระ 4 ปีเต็มได้หรือไม่? ในเมื่อประเทศไทย มีอีกคนที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” คำตอบของเรื่องนี้... หากคิดแบบคนมี “คมคิดล้ำลึก!” แล้วล่ะก็...อยู่ไปยาวๆ จนครบวาระนั่นแหละ
เพราะในสถานการณ์ยามนี้ เชื่อว่า... “ลูกสาวคนเล็ก” ของอดีตนายกฯ ทักษิณ คงยังไม่พร้อมจะรับศึกทางการเมือง ในฐานะ “หัวหน้ารัฐบาล” แต่การฝึกทำหน้าที่...รองนายกรัฐมนตรี ควบรัฐมนตรีบางกระทรวง ในการปรับคณะรัฐมนตรี ที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้ น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสมที่สุด
ที่สำคัญ การปล่อยให้ นายกฯ เศรษฐา ดูแลภารกิจใหม่ “รับน้องสาวกลับบ้าน” ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกสำคัญของอดีตนายกฯคนที่ 23 นั่นก็เท่ากับ...เป็นการ “สร้างหลักประกัน” ในการบริหารราชการแผ่นดินจนครบ 4 ปี
สิ่งที่อดีตนายกฯ ทักษิณ จะต้องเร่งวางกลยุทธ์ในทางการเมือง ยามที่ตัวเขา “ไม่ได้ถูกหมายหัว” จากอำนาจพิเศษ เหมือนในอดีต นับจากวันนี้ไป ก็คือ “การตัดโอกาส” ในทางการเมืองของพรรคคู่แข่ง อย่าง... พรรคก้าวไกล ที่วันนี้ ได้กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ในทางการเมือง...แทนพรรคเพื่อไทย ไปแล้ว
ภาพของพรรคก้าวไกลที่ถูกป้ายสีให้มีพฤติกรรม “เซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันฯ” ถือเป็นความเสี่ยงต่อการอยู่รอดในทางการเมือง
ขณะเดียวกัน สิ่งนี้...กลับเป็น “ทางรอดและโอกาสอันดี” ของพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่จะเฉิดฉันท์อยู่ในถนนการเมืองอย่างสง่างาม
แผนอันชาญฉลาด “สลับขั้วการเมือง” ในวันนั้น...ได้พิสูจน์ความลุ่มลึกในทางการเมืองในวันนี้...เป็นอย่างดี
แต่วันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไป จะเป็นเช่นใด? อะไรๆ ก็ล้วนเกิดขึ้นได้ในทางการเมืองของประเทศไทย!!!
มิตรที่เป็นศัตรู และศัตรูที่กลายเป็นมิตร ในทางการเมืองแล้ว...ถึงวันหนึ่งก็ย่อมจะแปรเปลี่ยนกลับไปกลับมาได้เช่นกัน!!!