แม้ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ได้อยู่ในสภาวะ “เพาเวอร์ฟูล” เหมือนในอดีต! แต่การอยู่เบื้องหลัง “รัฐบาลเศรษฐา” คอยสร้าง “ซูเปอร์คอนเน็ก” จากบ้านจันทร์ส่องหล้า กับคนทุกกลุ่มทุกวงการ ก็น่าจะทำลายในทุกอุปสรรคขัดขวางที่เคยมี หรือวันนี้...วลี “ยอมรอด...ขวางตาย!” ได้ถูกส่งต่อกันเป็นทอดๆ ไปแล้ว?
………………
การได้รับการ “พักโทษ” ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร รอบนี้ ไม่เพียงจะ “ไม่สั่นคลอน” เก้าอี้ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เช่นที่…นักวิชาการ สื่อมวลชน และ “คอการเมือง” บางคน ได้ตั้งข้อสังเกตในทำนอง นับจากวันนี้ไป… ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรี 2 คนในเวลาเดียวกันเท่านั้น
หากแต่ปรากฏการณ์ในทางการเมือง... กับการ “กลับมา” ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ครั้งนี้ จะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นและสร้างความเข้มแข็งให้กับนายเศรษฐา ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” และรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ได้มากยิ่งดีกว่า
ที่จริงเรื่องนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” เคยเขียนวิเคราะห์ไว้ในบทความก่อนหน้านี้แล้ว ลองไปหาอ่านกันดู (“ทักษิณ” พักโทษ-กลับบ้าน สะท้านทั้งการเมืองไทย! http://www.natethip.com/news.php?id=7963)
แม้รอบนี้... อดีตนายกฯ ทักษิณ จะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ “เพาเวอร์ฟูล” (มีอำนาจเต็ม) ทั้งในทางการเมืองและการบริหารราชการแผ่นดิน เหมือนเช่นที่ตัวเขาเคยเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2544-2549
กระนั้น ชื่อชั้น ประสบการณ์ และดีกรีความเป็น “ซูเปอร์คอนเน็ก” ณ วันนี้ ก็น่าจะทำให้อะไรที่เคย...ติดๆ ขัดๆ ของ “รัฐบาลเศรษฐา” ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ความโชคร้ายของ “นายกฯ เศรษฐา” และรัฐบาลของเขา ไม่เพียง...มีจุดเริ่มต้นจาก “เส้นทางการได้มาซึ่งอำนาจ” ที่ พรรคเพื่อไทย ทำการ “ฉีกทิ้ง” สัตยาบรรณในทางการเมืองกับ “8 พรรคร่วมรัฐบาล” ที่มีพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำก่อนหน้านี้
และสิ่งนี้...ค่อยๆ ทำลายเครดิตความน่าเชื่อถือในตัวรัฐบาลมาโดยตลอด
หากยังเจอ เด้งที่ 2 และ 3 ตามๆ กันมา ไม่ว่าจะเป็น... เรื่องของงบประมาณปี 2567 ที่ “ค้างท่อ” มาตั้งแต่ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล จนรัฐบาลชุดนี้...ไม่มีเงินงบประมาณในการบริหารราชการแผ่นดิน และได้ส่งผลกระทบต่อไปยัง สถานะเศรษฐกิจของประเทศ ที่จีดีพี “หดตัว” จากปีก่อนหน้านี้
เห็นได้ว่า...นโยบาย มาตรการ หรือโครงการอะไรก็ตาม ที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณแผ่นดินแล้ว ดูจะกลายเป็น “ปมด้อย” ของ “รัฐบาลเศรษฐา” อย่างที่สุด
ทำนอง...ไม่มีเงิน ก็ไร้อำนาจต่อรอง!!!
จะกดดันให้ “คณะกรรมการไตรภาคี” ปรับขึ้น “ค่าแรงขั้นต่ำ” ให้กับมนุษย์เงินเดือน ก็ทำไม่ได้..
ครั้นจะขอให้ “สำนักงานกฤษฎีกา” แสดงมุมมองในเชิง “สนับสนุน” แนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ในโครงการดิจิทัล วอลเลต “แจกเงินหมื่น” ก็กลายเป็นว่า...หน่วยงานแห่งนี้ กลับแสดงความเห็นออกมา เหมือนจะไม่เป็นคุณและก่อประโยชน์ต่อรัฐบาลสักเท่าใด?
โดยเฉพาะความเห็นบนเงื่อนไขที่ว่า... การออกกฎหมายกู้เงิน ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง มาตรา 53 เช่นที่รัฐบาลมีแผนจะกู้เงินจำนวน 5 แสนล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในโครงการดังกล่าว นั้น
สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ จะต้องยืนอยู่ในพื้นฐานของความจำเป็นเร่งด่วน เป็นความต่อเนื่อง เป็นการแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศ และรัฐบาลมิอาจจะตั้งงบรายจ่ายประจำปีได้ทัน
ข้อความใน มาตรา 53 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังฯ ระบุชัด! การกู้เงินของรัฐบาลนอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังกระทําได้ ก็แต่โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ และเฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการโดยเร่งด่วนและอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีได้ทัน
ตอกย้ำซ้ำเติมให้ดูหนักข้อยิ่งขึ้น กับ 8 ข้อเสนอแนะจาก สำนัก ป.ป.ช. ที่พอจะสรุปในภาพรวมได้ ก็คือ ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ “รัฐบาลเศรษฐา” จะผลักดัน...นโยบายโครงการเติมเงินผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท
เรื่อง ป.ป.ช. เห็นต่างกับรัฐบาล ยังพอเข้าใจได้ เพราะ 2 ฝั่งนี้ (คณะกรรมการ ป.ป.ช. กับพรรคเพื่อไทย) ดูจะเป็นไม้เบื่อไม้เมา กันมาโดยตลอด แต่กับท่าทีของ “สำนักงานกฤษฎีกา” ซึ่งก็ว่าไปแล้ว ก็มีหน้าที่เสมือนเป็น...ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของรัฐบาล และมีสถานะอยู่ในอาณัติของฝ่ายการเมือง
เมื่อแสดงความเห็นออกมาในลักษณะ “กั๊กๆ” เช่นนี้...มันสะท้อนภาพความ “ไร้อำนาจและบารมี” ของคนเป็นนายกรัฐมนตรี ได้อย่างชัดเจนที่สุด!
ตอกย้ำด้วย... การแสดงความคิดเห็นในแบบ “ไร้พลัง” ของ “นายกฯ เศรษฐา” กรณีข้อเรียกร้องให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ “แบงก์ชาติ” ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาสัก 0.25% จากเดิม 2.5% ซึ่งถูกมองว่า...เป็นอัตราดอกเบี้ยฯ ที่สูงเกินไป ในท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ “โตติดลบ” อย่างนี้...
น่าที่ กนง. ควรจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาเสียบ้าง!!!
แต่คำตอบที่ได้รับ คือ การไม่สนใจในข้อเรียกร้องของนายกรัฐมนตรี โดยที่ กนง. ยืนยันจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่อัตราเดิม 2.5%
คงไม่ต้องตอกย้ำถึง “อำนาจแท้จริง” ของผู้นำรัฐบาลคนนี้ ว่าจะมีมากมายสักเพียงใด?
ทว่า...เพียงวันเดียวที่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” หวนคืนสู่บ้านจันทร์ส่องหล้า รุ่งนี้...ก็เกิดปรากฏการณ์ในทางการเมืองที่ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า “อำนาจที่ขาดหายไป” ของ “รัฐบาลเศรษฐา” ได้หวนคืนกลับมาแล้ว
ท่าทีของเลขาธิการสภาพัฒน์ “นายดนุชา พิชยนันท์” ที่ออกมาแถลงตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของปี 2566 ที่เติบโตเพียง 1.8% พร้อมกับกดดันให้ กนง. ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาบ้างนั้น
แม้เจ้าตัวจะออกมาปฏิเสธว่า “ไม่มีใบสั่ง” จากรัฐบาลแต่อย่างใด?
และเรื่องนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ก็เชื่อว่า...เป็นจริง! แต่มันก็สะท้อนว่า หลายหน่วยงานรัฐ เริ่มจะมองเห็นคุณค่าและความสำคัญของ “รัฐบาลเศรษฐา” ในวันที่มี “อดีตนายกฯ ทักษิณ” คอยบงการอยู่เบื้องหลัง มาจากบ้านจันทร์ส่องหล้า
จากนี้ไป...อะไรที่เคย “ติดๆ ขัดๆ” ดูท่าว่า มันก็น่าจะผ่านกันไปได้ง่ายๆ มากขึ้นกว่าเดิม???
สอดรับกับสถานการณ์ที่ “เงินงบประมาณฯ - ค้างท่อ” มาตั้งแต่การเข้ารับ “ไม้ต่อ” บริหารราชการแผ่นดินของ “นายกฯเศรษฐา” เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 เป็นต้นมานั้น
ทว่า...หลังจากเดือนพฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป ต่อเนื่องจนถึงกลางปี 2568 เชื่อว่า...คนไทยก็คงจะได้เห็นปรากฏการณ์ “เงินหลวงไหล่บ่าทะลักท่วมแผ่นดิน” เนื่องเพราะงบประมาณปี 2567 และปี 2568 ที่มียอดเงินกลมๆ รวม 2 ปี เฉียดๆ 7 ล้านล้านบาท
เงินมหึมาก้อนนี้...จะถูกนำออกมาใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งของประเทศ และของนักการเมือง อย่างเมามัน
และหาก...พลังลึกๆ ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะเสริมส่งและหนุนนำ ทำให้ “รัฐบาลเศรษฐา” สามารถเดินหน้าออก พ.ร.บ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้จ่ายในโครงการดิจิทัลวอลเลต “แจกเงินหมื่น” ได้จริง!
สิ่งนี้จะยิ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดิน 2 ปีติดต่อกันได้เป็นอย่างดี
และไม่ว่า...โครงการดิจิทัลวอลเลต “แจกเงินหมื่น” จะเดินหน้าต่อในไซส์และลักษณะใด? จะเท่าเดิมหรือลดสเปคลงมา
กระนั้น “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” ก็ยังเชื่อว่า...สิ่งนี้ จะต้องเกิดขึ้นและเกิดได้ทันในปี 2567
และไม่เพียง...นโยบาย มาตรการ และโครงการใดๆ ของ “รัฐบาลเศรษฐา” ที่เคยติดๆ ขัดๆ จะได้รับการล้างท่อ...เพื่อให้เกิดการทะลุทะลวง ได้ง่ายมากขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น
หากแต่ปัญหาและอุปสรรคใดๆ ที่เคยมีและประสบกันอยู่! จากการที่...หน่วยงานของรัฐ และ/หรือนักการเมือง ทั้งในพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ได้เคยแสดงกันออกมา ทั้งที่เปิดเผยและปิดบังซ่อนเร้น
จากวันนี้...ก็น่าจะผ่อนปรนได้มากขึ้น!!!
วิธีคิดและการกระทำในอดีต! ของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” ในช่วงที่ตัวเขาถือ “อำนาจเต็ม” ในแบบ “เพาเวอร์ฟูล” นั้น หลายคนเคยตราตรึงกันมาแล้ว โดยเฉพาะการ “ปรับ ครม.” รายไตรมาส กับการปรับโยกย้ายข้าราชการที่ไม่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาล
นาทีนี้ อะไรที่เคยเป็นมา...ก็ยังคงจะเป็นไป เช่นเดิม!!!
แม้ในวันนี้...อำนาจในมือของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะไม่ “เพาเวอร์ฟูล” เท่าเดิม แต่ก็ถือเป็นสัญญาณ “ยอมรอด...ขวางตาย!” ที่ถูกส่งผ่านไปยัง...ผู้คนจำนวนมากในทุกวงการ
การสลับขั้วทางการเมือง แม้จะทำให้ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย ลดลงไปเยอะมาก แต่ก็ยังไม่สัญญาณใดที่จะสื่อได้ว่า...การเลือกตั้งรอบหน้า จะทำให้คู่แข่งในทางการเมืองอย่าง พรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้งถล่มทลายแบบแลนด์สไลด์ได้เลย
นั่นก็หมายความว่า...การเลือกจับขั้วการเมืองใหม่ ร่วมเครือข่ายพรรค 2 ลุง นั้น ที่สุด! ก็จะได้ “รัฐบาลขนมผสมน้ำยา” เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
การเป็นรัฐบาล ที่ถือทั้ง...อำนาจรัฐ และอำนาจเงิน (งบประมาณแผ่นดิน) เมื่อผสมรวมกับ...นโยบาย มาตรการ และโครงการ ที่กระทำต่อคนไทย ในลักษณะ “แจก แจก และแจก” นั้น
ย่อมสร้างแรงส่งต่อฐานคะแนนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย...ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ยิ่งได้ “คนคัดท้าย” ชื่อ...“นายทักษิณ ชินวัตร” ตัวเป็นๆ ด้วยแล้ว...ไม่เพียงโอกาสที่โครงการดิจิทัลวอลเลต “แจกเงินหมื่น” จะเดินหน้าต่อไปได้ หากแต่สิ่งใหม่ๆ ที่จะถูกเติมเต็มหลังจากนี้ ก็น่าจะได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายได้ดีกว่าตอนที่ยังไม่มีเขาคนนี้คอยบัญชาการ
ถึงบรรทัดนี้ “สำนักข่าวเนตรทิพย์ ออนไลน์” คงต้องบอกสังคมไทยให้ได้รับรู้ทั่วกันว่า...นับจากวันนี้...นายกฯ เศรษฐา ก็บริหารประเทศไป ส่วน “อดีตนายกฯ ทักษิณ” จะคอยทำหน้าที่อยู่เบื้องหลังในการบริหารการเมือง บริหารคอนเน็กชั่น และบริหาร “รัฐบาลเศรษฐา” เอง
ไม่ต้องเป็นห่วง!!!