กำลังเป็นประเด็นสุดฮอต เป็น Talk of the Town
กับเรื่องที่ "อุ๊งอิ๊ง - แพทองธาร ชินวัตร" หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่ขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์ในฐานะผู้นำครอบครัวเพื่อไทย กับการตัดสินใจหักดิบและหักหลังเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดในอดีต ในการตัดสินใจเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเสียเอง
อะไรก็ดีอยู่หรอก แต่พอมาถึงไฮไลท์ของ Speech หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกลับไปค่อนแคะวิพากษ์ อ้อ! ไม่ใช่ซิ (อ่านสคริปต์) วิพากษ์บทบาทการทำหน้าที่ของผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่แสดงจุดยืนในการดำเนินโยบายอย่างอิสระ ในทำนองที่ว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้รับความร่วมมือจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้ต้องใช้นโยบายการคลังเพียงด้านเดียวมาโดยตลอด และยังมีความพยายามที่จะแก้กฎหมายเพื่อความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ ซึ่งถือเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
หลายฝ่ายแอ่นอกออกมาปกป้อง ธปท. และผู้ว่า ธปท. ทันที พร้อมตั้งข้อกังขาต่อการที่รัฐบาลมองการลดดอกเบี้ยเป็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเพียงด้านเดียว เพราะหากดูตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศวันนี้ ก็ยังขยายตัวได้ดี นโยบายการเงินก็เดินมาถูกทางแล้วนี่ ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาจากนโยบายการเงินและดอกเบี้ยหรือไม่ สรุปว่าก็ไม่ใช่อีก แต่มาจากปัญหาอื่น ๆ เช่นกำลังซื้อของประชาชนลดลง การส่งออกการลดลง และการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นกลับมาต่างหาก ซึ่งปัญหาเหล่านี้คงแก้ไม่ได้ด้วยนโยบายดอกเบี้ยต่ำอย่างเดียว รวมทั้งแบงก์ชาติจึงไม่ใช่ปัญหา
บ้างก็ออกมาสัพยอกไปถึงขั้นที่ว่า นักเรียนที่เคยลอกข้อสอบตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย กำลังออกมาวิจารณ์นักวิชาการระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทย อดีตนักเรียนทุน ธปท. หรือไม่ก็มองว่า เด็กเมื่อวานซืนริอ่านจะไปสั่งสอนนักวิชาการระดับมันสมองของโลกซะงั้น
เอาเป็นว่า การออกมาวิพากษ์การทำงานของผู้ว่า ธปท. ของหัวหน้าพรรคเพื่อไทยน้ัน แม้จะเป็นสคริปต์เดียวกันกับที่นายกฯเศรษฐา (ที่เขาว่าเราจะเป็นเศรษฐี) เคยออกมาวิพากษ์อยู่ก่อนแล้ว แต่พอเป็น Speech ของ น.ส.แพทองธาร ไป ก็เลยเรียก "ทัวร์ลง" ทั้งอุ๊งอิ๊ง และพรรคเพื่อไทยจนแทบจะเสียศูนย์ไปซะงั้น กลบประเด็นอื่น ๆ ที่พรรคขนออกมาโชว์ความสำเร็จในการดำเนินนโยบายตลอดห้วง 10 เดือนที่ผ่านมาซะเรียบวุธ
แถมในห้วงเวลาเดียวกัน โซเชี่ยลยังปล่อยหมดเด็ดคลิปที่ ผู้ว่า ธปท. ออกมาเปิดใจ ในระหว่างพิธีรับมอบทองคำแห่งเข้าคลังแผ่นดินเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567 ณ สวนแสงธรรมพุทธมณฑลสาย 3 ซึ่งมีเนื้อความตอนหนึ่งสุดกินใจ
"รัฐบาลมาแล้วก็ไป ผู้ว่าฯ มาแล้วก็ไป แต่สถาบัน องค์กรธนาคารแห่งประเทศไทยต้องอยู่ และต้องอยู่อย่างเข้มแข็ง"
เลยกลายเป็นวลีเด็ดที่แทบจะทำเอาเด็กเมื่อวานซืนไปไม่เป็นเอาเลย
อย่างไรก็ตาม กับจุดยืนของผู้ว่า ธปท. และคณะกรรมการนโยบายการเงินในการดำเนินนโยบายการเงินและดอกเบี้ยแบบโลกจะถล่ม ดินจะทลาย ก็อย่าหมายว่า ธปท. จะลดดอกเบี้ยให้นั้น แม้จะเป็นเรื่ื่องที่ผู้คนในสังคมคาใจ จนอยากเห็นรัฐบาลและโดยเฉพาะขุนคลังใช้อำนาจ "ปลดกลางอากาศ" เสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลและโดยเฉพาะ รมว.คลัง จะเป็นผู้พิจารณาดำเนินการเอง โดยที่สังคมเองไม่มีความคลางแคลงใจได้อยู่แล้ว เพราะทุกฝ่ายต่างรู้สาแก่ใจกันดี การดำเนินนโยบายการเงิน การคลังและดอกเบี้ยนั้นจะต้องเดินไปด้วยกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างพาย ต่างคนต่างจุดหมายกันเช่นนี้
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ รมว.คลัง หรือขุนคลัง จะเป็นผู้โดดออกมาชนด้วยตนเอง หากจะปลดก็ต้องใช้อำนาจของตนเองดำเนินการ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะแหยมเข้ามาสอดแทรกได้ง่าย ๆ
แต่เมื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ดอดไปแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้ เหมือนเป็นการส่งสัญญาณไปยังรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ให้ต้องตัดสินใจดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อผู้ว่าการ ธปท. เช่นนี้
แทนที่จะเป็นผลดีต่อพรรคหรือต่อรัฐบาล ก็อาจจะกลายเป็น "ดาบ 2 คม" ที่ทำให้กลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้รัฐบาลเสียศูนย์จนถึงขั้นล้มครืนเอาได้ง่าย ๆ